เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่าผลงานของทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลในรอบสองสามเดือนที่ผ่านมาทุกอย่างสามารถอธิบายเรื่องราวด้วยตัวของมันเองว่าใครเป็นแบบไหน มีผลงานเข้าตาเป็นเรื่องเป็นราว หรือว่าไร้แก่นสารหาสาระอะไรไม่ได้เลย เหมือนกับยิ่งอยู่ไปก็เปลืองเงินของชาวบ้าน น่ารำคาญอะไรประมาณนั้น
สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นภาพดังกล่าวได้ชัดเจนมันสะท้อนออกมาได้หลายรูปแบบทั้งที่ชาวบ้านมองเห็นด้วยตัวเองจากการทำงานทั้งในเวทีสภา เปรียบเทียบกับการทำงานของฝ่ายรัฐบาล รวมไปถึงได้สะท้อนผ่านผลสำรวจจากความรู้สึกของชาวบ้านก็ล้วนออกมาในแนวทางเดียวกัน
ก็ต้องบอกว่าฝ่ายค้าน “สอบตก” แบบแทบจะไม่มีคะแนนเลย ซึ่งในความเป็นจริงที่มองเห็นมันก็น่าจะเป็นแบบนั้น ที่สำคัญหากพิจารณาจากการทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารฝ่ายรัฐบาลของบรรดาพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่ถูกมองว่า “ออกทะเล” ไม่มีแก่นสาร อาจเป็นเพราะมุ่งเน้นในเรื่องของ “การโค่นล้มรัฐบาล” มากเกินไป รวมไปถึงขาดนักการเมืองที่มีฝีมือหรือมีประสบการณ์ในการทำงานการเมืองในสภา เพราะส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดล้วนเป็นพวก “หน้าใหม่” ที่ไร้ประสบการณ์ หรือไม่เข้าใจการทำงานในสภา ทั้งในเรื่องบทบาทหน้าที่ในฐานะสมาชิกรัฐสภา รวมไปถึงบทบาทในการทำงานในหน้าที่ของกรรมาธิการของสภาว่าตัวเองต้องอยู่ในฐานะอะไร และแบบไหน
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นชัดที่สุดสำหรับพรรคร่วมฝ่ายค้านที่น่าเชื่อว่าส่งผลต่อการทำงานอย่างที่เห็นกันอยู่ก็คือ “ความไร้ประสบการณ์” รวมไปถึงคนที่มีบทบาทในเวลานี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่เคยอยู่ในระดับ “แถวหลัง” หรือแถวสองแถวสามของบางพรรค โดยเฉพาะในพรรคเพื่อไทยที่ต้องเป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคต้องมีตำแหน่งเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรอีกด้วย แต่กลายเป็นว่าบทบาทนำกลับกลายเป็นของพรรคอันดับรองลงมาอย่างพรรคอนาคตใหม่ แต่ก็คนละความหมายกับคำว่าการทำงาน “เข้าตา”แต่อย่างใด แต่เป็นความหมาย “เป็นข่าวรายวัน” เท่านั้น ไม่ใช่เป็นสาระหรือผลงานการตรวจสอบจนปรากฏออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ
หากให้โฟกัสไปทีละพรรคเริ่มจากพรรคเพื่อไทยก่อน ก็ต้องยอมรับความจริงกันก่อนว่าการที่บรรดา “”ขาใหญ่” ในพรรคที่เคยถูกวางตัวเอาไว้ในแบบบัญชีรายชื่อ “อดเข้าสภา”แบบยกแผง เพราะในพวกนั้นมีทั้งระดับ “ลูกน้องเกรดเอ” หากเข้าใจว่าพรรคการเมืองนี้เป็นของ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวของเขา หรืออย่างน้อยก็มีระดับดาวสภา ดาวไฮปาร์คปนอยู่ในนั้นหลายคนจนไม่ต้องเอ่ยชื่อก็จำกันได้
ขณะที่พวกที่ได้เป็น ส.ส.เข้าสภา ก็เป็น ส.ส.เขต ที่ส่วนใหญ่รู้จัก มีชื่อกันในพื้นที่ตามต่างจังหวัดของตัวเองเท่านั้น บทบาทในสภาก่อนหน้านี้ก็มีน้อยคนนักที่สามารถเป็นนักอภิปรายในสภาเป็นตัวหลัก อย่างมากก็เคยมีประสบการณ์ในการอภิปราย “นอกเวลาทอง” หรืออย่างมากก็เป็นเพียงแค่ “นักประท้วง” ขัดจังหวะฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
หรือแม้แต่ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ก็เพิ่งถูกดันหลังให้มารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อรองรับกับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะเป็นผู้อาวุโสในพรรคเนื่องจากมีอายุมากกว่า ส.ส.คนอื่น แต่สำหรับบทบาทในสภาก็ยังไม่โดดเด่น จนคนรุ่นหลังอาจจะลืมไปแล้วว่าเคยเป็นหัวหน้า “ส.ส.กลุ่ม 16 “ อันโด่งดังในอดีต
และด้วยสภาพความเป็นจริงในพรรคเพื่อไทยเวลานี้ที่ภายในมีแต่ความคุกรุ่นขัดแย้ง ไม่เป็นเอกภาพ ต่างฝ่ายต่างก็มีกลุ่มก๊วน มีกลุ่มของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่เป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรคซึ่งหลายคนมองว่าเวลานี้ “เจ้าของพรรค” คือ ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีอารมณ์เข้ามาบริหารจัดการ ที่สำคัญ “ไม่มีน้ำเลี้ยง” มานานแล้ว เนื่องจากยังมองไม่เห็นอนาคต ความหมายก็คือโอกาสที่จะชนะ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แทบยังองไม่เห็น ผ่านมา 5 ปีที่ร้างราจากอำนาจรัฐ และยังเชื่อว่า “ยาว” ไปกว่านี้อีก จึงยังไม่เสี่ยงลงทุน เพราะมีแต่ “ขาดทุน”
นอกเหนือจากนี้ที่ทำให้ ทักษิณ ชินวัตร จำเป็นต้องเงียบ ไม่กล้าทำอะไรผลีพลาม สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะลูกชายคนเดียว คือ “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร กำลังติดคดีร่วมกัน “ฟอกเงิน” ซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตกำลังจะมีการตัดสินชี้ขาดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งมีความเสี่ยง “คุก” สูงไม่น้อย
ขณะที่มองไปที่พรรคอนาคตใหม่ แม้ว่าเวลานี้จะเป็นข่าวรายวัน มีบทบาททั้งในและนอกสภา แต่ส่วนใหญ่ที่ออกมาล้วนออกมาในทางลบ หรือเป็นเรื่องที่ยั่วยุให้เกิดคดีอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญเวลานี้ด้วยการบริหารที่ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในอย่างหนักของ หัวหน้าพรรคคือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และเลขาธิการพรรคอย่าง ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ถูกอดีตลูกพรรคโจมตีว่าเป็น “เผด็จการ” ไร้ประสบการณ์ ไม่ฟังลูกพรรคจนสร่งปัญหาวุ่นวาย ด้วยสาเหตุนี้ทำให้น้ำหนักของคำว่า “ประชาธิปไตย” และ “ความเสมอภาค” หมดความหมายลงไปทันที คำพูดที่คนพวกนี้ใช้นำทางกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายรัฐบาลในปัจจุบันว่าเป็นพวกเผด็จการและยกตัวเองว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” เวลาต้องเงียบกริบ
นี่ยังไม่นับกรณีบทบาทของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนฯ เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปชี้แจงกรณีกรณีเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 63 มิชอบ จากกรณีถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วนก็กลายเป็นถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ ที่สำคัญในความหมายก็คือไม่ถูกกาลเทศะ ไม่สร้างกระแสอารมณ์ร่วม เพราะชาวบ้านเขามองว่า “เรื่องมันจบไปแล้ว” จนกลายเป็นแรงกระแทกกลับมาตัวเขาเอง
ด้วยปรากฏการณ์ดังกล่าวมาถือว่าการทำหน้าที่ของบรรดาพรรคร่วมฝ่ายค้านในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ไม่เอาอ่าว ไร้มาตรฐานกว่าที่ควรจะเป็น จะเป็นเพราะ ส.ส.ส่วนใหญ่อ่อนประสบการณ์ หรือว่าเป็นพวกคนรุ่นใหม่ที่สำคัญตัวเองผิด ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกกับการทำน้าที่ในสภาครั้งแรกหรือเปล่า แต่ผลที่ออกมาแบบนี้กลับส่งเสริมความมั่นคงให้กับฝ่ายรัฐบาลไปโดยปริยาย ทั้งที่มีเสียงปริ่มน้ำที่เคยนึกว่าไปได้ไม่กี่น้ำ แต่มาวันนี้เมื่อเห็นการทำงานของฝ่ายค้าน ก็ต้องบอกว่า ยาวไป !!