เมืองไทย 360 องศา
ส่งสัญญาณชัดเจนจากปากของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ว่า ในการประชุม คสช.ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้มีการหารือกันถึงเรื่องการ “ปลดล็อก” เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองเก่าได้สามารถประชุมพรรค หรือทำกิจกรรมของพรรคได้ พร้อมกันนี้ เมื่อมีการถามแบบเฉพาะเจาะจงว่า “กำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ประกาศว่า จะเดินสายเพื่อหาสมาชิกพรรคสามารถทำได้หรือไม่เขาก็ตอบว่า “ทำได้” หากเป็นการพูดหรือประชุมในที่รโหฐาน หรือในแบบห้องประชุมมิดชิด แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีการขออนุญาต อย่างไรก็ดี เขาบอกว่าที่ผ่านมาแทบทุกพรรคก็ทำกันอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน ยังมีการพูดถึงการทำ “ไพรมารีโหวต” ของพรรคการเมือง ซึ่งล่าสุด จากการขยายความของ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ทำให้เข้าใจว่าจะมีการเสนอ 2 แนวทางให้เลือกคือการให้พรรคการเมืองทำไพรมารีในระดับภาคและการรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกพรรคการเมือง แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจฟันธงได่ว่าจะเลือกแนวทางไหน แต่รับรองว่าต้องยืดหยุ่นไม่ปล่อยเต็มแม็กตามที่กำหนดเอาไว้แน่นอนโดยอ้างความไม่พร้อมของพรรคการเมือง ซึ่งนั่นเท่ากับเอื้อให้กับ “บางพรรค” นั่นแหละ
นอกจากนี้ ที่น่าสนใจก็คือ การออกมาปกป้องสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บางกลุ่มที่เสนอแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พ.ศ.2560 ที่เกี่ยวกับการสรรหาผู้ตรวจการเลือกตั้ง ว่า ไม่ใช่เป็นการล้มล้างแต่เป็นการเปิดทางให้คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดเก่ากับชุดใหม่ได้ร่วมกันคัดสรร
ดังนั้น หากสรุปความเอาจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็มี 3 เรื่องสำคัญ คือ การปลดล็อกพรรคการเมือง การปรับการทำไพรมารีโหวตที่มีอยู่ 2 แนวทางให้เลือก และการเปิดไฟเขียวให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทยได้เดินสายปราศรัยหาสมาชิกพรรคไปทั่วประเทศ
ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้งสามเรื่องหลักดังกล่าวล้วนเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองที่ประกาศท่าทีสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปลดล็อกที่แม้ว่าจะให้ทุกพรรคประชุมได้และส่วนใหญ่ก็ย่อมเป็นพรรคเก่า ไม่ว่าพรรคใหญ่พรรคกลางพรรคเล็ก ซึ่งแน่นอนว่าในจำนวนนั้นมีหลายพรรคที่มีข่าวว่าได้ตกลงเป็นพันธมิตรสนับสนุน “ลุงตู่” ไว้ล่วงหน้าก็สามารถได้ทำกิจกรรมเปิดประชุมกันไปด้วย
อย่างไรก็ดี ที่น่าจับตาก็คือ การปลดล็อกคราวนี้น่าจะส่งผลดีกับพรรคที่กำลังก่อตั้งขึ้นใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งสิ้น หากให้โฟกัสก็ต้องมุ่งไปที่สองพรรคหลักคือ พรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ และอีกพรรคก็คือพรรคพลังประชารัฐ ที่เวลานี้มีการพูดถึง “กลุ่มสามมิตร” รวมอยู่ในนั้นด้วย และที่ผ่านมา ก็มีการเดินสายพบปะพูดคุยกันในหลายจังหวัดแล้ว โดยเป้าหมายต่อไปจะยังเป็นพื้นที่ในภาคอีสานและภาคเหนือ ความหมายก็คือ “เจาะฐานเสียง” ของพรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ดูตามอาการแล้วเขาน่าจะ “เว้นวรรค” หยุดปล่อยท่อน้ำเลี้ยงชั่วคราว อย่างน้อยก็น่าจะให้ผ่านช่วงการเลือกตั้งคราวนี้ไปก่อน ซึ่งคอการเมืองมองออกว่า “ลงทุนไปก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล” ขาดทุนเปล่าไม่คุ้ม
แบบนี้แหละทำให้หลายคนเชื่อว่า “เลือดต้องไหลออก” จากพรรคเพื่อไทยอีก จะมีพวกย้ายพรรคด้วยเหตุผล “ตามคำเรียกร้อง ”ของประชาชนตามมาอีกหลายจังหวัดสำคัญรอดูไปก็แล้วกัน โดยเฉพาะให้จับตาในพื้นที่ภาคเหนือ
ขณะเดียวกัน อีกกลไกหนึ่งที่ต้องบอกว่าเหนือความคาดหมาย ก็คือ การเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยกกต.ที่เกี่ยวกับการสรรหาผู้ตรวจการเลือกตั้งของ สนช.กลุ่มหนึ่ง ทั้งที่กฎหมายฉบับนี้เพิ่งประกาศใช้และผู้ตรวจการก็ยังไม่ได้ทำหน้าที่ แต่ก็อ้างในเรื่องความกังวลเกี่ยวกับรายชื่อที่อาจเกี่ยวข้อง
กับพวกนักการเมือง อย่างไรก็ดี แม้ว่าในที่สุดแล้วจะมีการแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าวได้หรือไม่ แต่เมื่อฟังจากท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ออกมาปกป้องว่าไม่ใช่เป็นการไปล้มล้างแต่เป็นเรื่องที่กกต.ชุดเก่ากับชุดใหม่ไปร่วมกันคัดสรร ซึ่งก็สอดคล้องกับคำพูดของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ “ซื่อแป๋” คนสำคัญที่ย้ำว่าเวลานี้ผู้ตรวจการเลือกตั้งยังไม่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมายสมบูรณ์ ยังอยู่ในช่วงของการประกาศรายชื่อและรับฟังความเห็น หากเห็นว่าใครไม่ถูกต้องเหมาะสมก็เปลี่ยนได้ ซึ่งนั่นอาจเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปิดทางให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหม่เข้ามาเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ เพราะกระบวนการนี้ใช้เวลาอีก 30 วัน
แน่นอนว่า สำหรับผู้ตรวจการเลือกตั้งถือว่าเป็นกลไกใหม่ที่สำคัญเป็นมือเท้าของ กกต.เลยก็ว่าได้และที่น่าจับตาก็คือมีผลต่อการเลือกตั้งเสียด้วย ด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่าที่ทำให้เกิดความรู้สึก “ซีเรียส” กันขึ้นมาแบบผิดปกติหนือเปล่า
ดังนั้น ตั้งแต่นาทีนี้ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าฝ่ายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลจะทยอย “ปล่อยของ” ออกมาอย่างไรบ้าง แต่สำหรับ 3 เรื่องหลักที่กล่าวมานี้ก็ถือว่าเน้นๆ เนื้อมีผลอนาคตทางการเมืองของ “บิ๊กตู่” ทั้งสิ้น ถึงต้องพลาดไม่ได้ ต้องเก็บทุกเม็ด!!