xs
xsm
sm
md
lg

“ธีระชัย” แนะช่วยกันจับตา กม.วิธีงบประมาณใหม่ อย่าให้มีแผนการขายชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
อดีต รมว.คลัง แนะช่วยกันจับตาและตั้งคำถาม หลัง สนช.ผ่านร่าง กม.วิธีงบประมาณฯ คำนิยามรัฐวิสาหกิจเดิมที่ใช้ได้ดีมาตลอด 60 ปี ถูกเปลี่ยนใหม่ ให้ระบบตรวจสอบโดยรัฐสภาและสำนักงบประมาณครอบคลุมไปได้แค่บริษัทลูก ยังดีที่ใส่บริษัทหลานกลับเข้ามา แต่ยังมีบริษัทเหลนหลุดออกไป ขณะที่กฎหมายซูเปอร์โฮลดิ้งที่กำลังผลักดันให้เหลือรัฐวิสาหกิจแค่บริษัทแม่ ตั้งข้อสงสัยเป็นจิ๊กซอว์เพื่อเอาเข้าตลาดหุ้นหรือให้เอกชนมาร่วมธุรกิจหาประโยชน์จากทรัพย์สินรัฐโดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบควบคุมหรือไม่

นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในรายการชั่วโมงฐานเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา กรณีที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 20 ก.ค.เห็นชอบผ่านร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ….ให้ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ว่า ในเบื้องต้นขณะนี้มีข่าวเรื่องการดูด ส.ส. เพราะฉะนั้นประชาชนจะต้องให้ความสำคัญเรื่องวิธีการที่โปร่งใส ไม่มีการทุจริตเชิงนโยบาย ซึ่ง ร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฉบับใหม่ มันเข้าข่ายตรงนี้อยู่

ทั้งนี้ กฎหมายวิธีการงบประมาณฉบับเดิม พ.ศ. 2502 มาตรา 4 นิยามรัฐวิสาหกิจไว้ 4 ชั้น ได้แก่ (1) องค์การของรัฐบาลหรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ (2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการมีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่าร้อยละห้าสิบ (3) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการ และ/หรือรัฐวิสาหกิจ ตาม (1) และ/หรือ (2) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่าร้อยละห้าสิบ (4) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการ และ/หรือรัฐวิสาหกิจ ตาม (3) และ/หรือ (1) และ/หรือ (2) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่าร้อยละห้าสิบ (5) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการ และ/หรือรัฐวิสาหกิจ ตาม (4) และ/หรือ (1) และ/หรือ (2) และ/หรือ (3) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่าร้อยละห้าสิบ

การกำหนดนิยามรัฐวิสาหกิจดังกล่าว เป็นการครอบคลุมลงไปถึงบริษัทลูก หลาน เหลนของรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้สำนักงบประมาณควบคุมลงไปถึง เพราะบางครั้งบริษัทหลานเหลนก็อาจทำให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณได้ แต่ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฉบับใหม่ ตามร่างเดิมของรัฐบาลตัดเหลือแค่ 1 และ 2 คือ ตัวองค์กรรัฐวิสาหกิจและบริษัทที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ด้วยความกังวล สนช.มาเติม ข้อ 3 ให้ คือ บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจตาม (1) หรือ (2) หรือที่รัฐวิสาหกิจตาม (1) และ (2) หรือที่รัฐวิสาหกิจตาม (2) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกิน 50% เป็นการใส่บริษัทหลานกลับเข้ามา แต่ก็ยังไม่รวมบริษัทเหลน

นายธีระชัย กล่าวต่อว่า ผลที่ตามมา ในแง่ประชาชนที่ควรติดตาม คือ การแก้ไขกฎหมายแล้วทำให้ บริษัทหลานเหลนหลุดออกไป จะทำให้การกำกับดูแลหลวมลงไป ในแง่ของการตรวจสอบโดยสำนักงบประมาณถึงความถูกต้องหรือความคุ้มค่าของการใช้เงินงบประมาณ และหลุดออกไปจากการควบคุมตรวจสอบของรัฐสภา ส.ส.ฝ่ายค้าน วุฒิสมาชิก ก็ทำให้เกิดความหละหลวมขึ้นมา และขาดความโปร่งใส รัฐสภาที่มีหน้าที่ตรวจสอบ มีอำนาจเรียกคนมาให้ข้อมูล ก็จะกระสุนด้าน ตรวจสอบไม่ได้

ประการต่อมา ในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้น มี พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจที่กำหนดกติกาการแปรรูปที่ชัดเจนว่าก่อนแปรรูปต้องแบ่งกองทรัพย์สิน กองที่จะโอนไปกระทรงการคลัง หรือโอนไปที่บริษัท มีการตั้งคณะกรรมการหลายฝ่ายมาดูแลการแบ่งทรัพย์สิน เป็นกระบวนการถ่วงดุลในการแปรรูป แต่ถ้าหลุดออกไป มันจะทำให้บริษัทหลานเหลน เอาหุ้นไปขายไอพีโอในตลาดหลักทรัพย์โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปหรือไม่ หรือการให้ต่างชาติมาร่วมธุรกิจ ก็ไม่ต้องผ่านกระบวนการตาม พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ

นอกจากนี้ หากเจ้าหน้าที่ของบริษัทหลานเหลนทุจริตก็อาจจะไม่เข้าข่ายความผิดต่อหน้าที่ฐานเป็นเจ้าพนักงานในองค์กรหรือหน่ยงานของรัฐซึ่งมีโทษหนักมาก

นายธีระชัย กล่าวอีกว่า สิ่งที่น่ากังวลมากที่สุด ถ้าไปดูกฎหมายกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ หรือกฎหมายซูเปเปอร์โฮลดิ้งที่กำลังมีการผลักดันอยู่ขณะนี้ ในร่างแรกของรัฐบาลนั้น แทนที่จะเป็นกระทรวงการคลัง แต่เป็นบรรษัทที่ถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจแทน และเฉพาะองค์กรแม่เท่านั้นที่เป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ลูก หลาน เหลน หลุดไปเลย ดังนั้น เมื่อดูกฎหมายหลายฉบับต่อเนื่องกัน คล้ายกับว่ามันจะเป็นจิ๊กซอว์ ชงตรงนี้ ชงตรงนั้นต่อเนื่องกันขึ้นมา เพื่อให้สามารถเอาบริษัทลูกไปไอพีโอเข้าตลาดหุ้นง่ายๆ หรือเปล่า โดยไม่ต้องถูกตรวจสอบจาก สตง.ไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปที่กฎหมายกำหนด

หรืออย่างเช่น การรถไฟซึ่งมีที่ดินจำนวนมาก จะตั้งบริษัทลูกขึ้นบริหาร ถ้าเป็นแบบนี้ มิชชั่นของรัฐวิสาหกิจจะเปลี่ยนไปในทางที่เราไม่ต้องการหรือไม่ รัฐธรรมนูญกำหนดว่าห้ามไม่ให้รัฐทำธุรกิจแข่งขันกับเอกชน แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่ารัฐวิสาหกิจจะไม่เอาอำนาจรัฐที่ได้มาผ่านบริษัทลูก หลาน เหลน ไปแข่งขันกับเอกชนในลักษณะที่ได้เปรียบ

เป็นประเด็นที่ต้องตั้งคำถาม และช่วยกันติดตาม เพราะกฎหมายวิธีการงบประมาณที่ใช้มา 60 ปี ได้รับคำชมมาตลอด ไม่เคยมีปัญหา แม้แต่ตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง ก็ไม่ได้เกิดจากการใช้งบประมาณของรัฐบาลแต่เป็นปัญหาหนี้ของเอกชน กฎหมายที่ใช้ได้ดีมาตลอด อยู่ดีๆ จะไปแก้เพื่ออะไร





กำลังโหลดความคิดเห็น