สลค.เวียนหนังสือถึงเจ้ากระทรวง จัดทำแนวทางคุมสัญญาเอกชนเข้าร่วมลงทุน ก่อนที่สัญญาร่วมลงทุนจะสิ้นสุดลง เน้นทั้งเปิดให้เอกชนรายใหม่แข่งขันเข้าร่วมลงทุน และกรณีให้เอกชนรายเดิมร่วมลงทุน เสนอต่อกระทรวงเจ้าสังกัดอย่างน้อย 5 ปี ก่อนที่สัญญาร่วมลงทุนจะสิ้นสุดลง ให้ดำเนินการตามขั้นตอน พิจารณาเหมาะสม รอบคอบ และเกิดประโยชน์สูงสุด เผย “รองฯ สมคิด” สั่งบอร์ด PPP รวบรวมโปรเจกต์ที่สัญญาใกล้หมดอายุ หลัง อสส.แจ้งข้อกฎหมายทำโครงการร่วมทุนรัฐ-เอกชนมีปัญหา
วันนี้ (23 ก.ค.) แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) มีหนังสือเวียนถึงรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการระดับสูง ภายหลัง ครม.(17 ก.ค.) มีมติว่า เพื่อการดำเนินกิจการของรัฐภายหลังจากสัญญาร่วมทุนสิ้นสุดลง ให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการระดับสูง พิจารณาแนวทางการดำเนินกิจการต่างๆ ของรัฐ ที่ได้ให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนเป็นไปด้วยความเหมาะสม รอบคอบ และเกิดประโยชน์สูงสุด จีงมีมติให้ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ที่เป็นเจ้าของโครงการ/สัญญาร่วมลงทุนต่างๆ ที่ดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
โดยให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินกิจการของรัฐในเรื่องนั้นๆ ภายหลังจากอายุของสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลง โดยให้เปรียบเทียบ การดำเนินการกิจการของรัฐแยกเป็นกรณีที่หน่วยงานของรัฐคำเนินการเอง กรณีเปิดให้เอกชนรายใหม่ แข่งขันเข้าร่วมลงทุน และกรณีให้เอกชนรายเดิมร่วมลงทุน โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐ ความเหมาะสม และความต่อเนื่องในการดำเนินกิจการของรัฐ เพี่อเสนอต่อกระทรวงเจ้าสังกัดอย่างน้อย 5 ปี ก่อนที่สัญญาร่วมลงทุนจะสิ้นสุดลง เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามนัยมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556
มีรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP)มอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ไปรวบรวมโครงการร่วมลงทุนต่างๆ ที่ลงนามในสัญญามาก่อน พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 บังคับใช้ และขณะนี้ใกล้หมดสัญญา แต่ยังไม่มีผู้ที่รับผิดชอบทบทวนสัญญาว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยล่าสุดพบว่ามีโครงการที่ใกล้ครบสัญญาภายใน 5 ปีนี้
“เพื่อเร่งรัดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำมาทบทวน 3 แนวทาง คือ แก้ไขสัญญา, ผูกพันสัญญาเดิม หรือยกเลิกสัญญา ตามมาตรา 48 ของ พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ที่กำหนดว่า ก่อนจะหมดสัญญา ภายใน 5 ปี หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องพิจารณาทบทวนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ก่อนหน้านั้น อัยการสูงสุด (อสส.) มีข้อสังเกตว่า บางโครงการหมดสัญญาไปแล้ว แต่หน่วยงานเจ้าของโครงการไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร อาจเป็นเพราะ พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 2535 เดิมกำหนดว่า ถ้าโครงการมูลค่าไม่ถึง 1,000 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเดินตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุน แต่ พ.ร.บ.ร่วมลงทุน ปี 2556 ให้ครอบคลุมทุกสัญญา เพียงแต่แบ่งเป็นโครงการขนาดเล็ก กลาง ใหญ่”
โครงการที่เข้าข่ายครบอายุสัญญาใน 5 ปี ภายในปี 2565 เช่น (1 โครงการทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัช) ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) มีบริษัททางด่วนกรุงเทพ (BECL) เป็นคู่สัญญา ระยะเวลา 30 ปี ครบ 28 ก.พ. 2563 (2 สัญญาเช่าพื้นที่โครงการอู่เรือบริเวณแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่ บจ.ยูนิไทย ชิปยาร์ด เอนจิเนียริ่ง เป็นคู่สัญญา ระยะเวลา 30 ปี สิ้นสุด 17 ธ.ค. 2563 (3 โครงการกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) คู่สัญญาคือ บมจ.ไทยคม ระยะเวลา 30 ปี สิ้นสุด 10 ก.ย. 2564
(4 โครงการสัญญาให้บริการวิทยุคมนาคมระบบเซลลูลาร์ ระหว่าง บมจ.กสท โทรคมนาคม กับ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ DTAC จะครบสัญญา 27 ปี 30 ก.ย. 2561 (5 สัญญาร่วมการงานและร่วมลงทุนขยายบริการโทรศัพท์ 1.5 ล้านเลขหมาย ในเขตโทรศัพท์ภูมิภาค บมจ.ทีโอที กับคู่สัญญาคือ บมจ.ทีทีแอนด์ที 25 ปี ครบสัญญา 29 มิ.ย. 2562 (6 สัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สี ของ บมจ.อสมท กับ บจ.บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ (BEC) จะหมดสัญญา 40 ปี 25 มี.ค. 2563
(7 โครงการการให้เช่าที่ราชพัสดุแก่ บมจ.ไทยออยล์ ของกรมธนารักษ์ 30 ปี ครบกำหนด 10 ก.ย. 2565 ปัจจุบันได้ข้อสรุปและอยู่ระหว่างเสนอ ครม. อนุมัติต่อสัญญาเช่าอีก 30 ปี คิดค่าเช่า 1.2 หมื่นล้านบาท และ (8 สัญญาการบริหารและการดำเนินกิจการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างกรมธนารักษ์ กับ บจ.เอ็นซีซี แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ 30 ปี ครบกำหนด 30 พ.ย. 2564 ได้ข้อสรุปว่าจะต่ออายุสัญญาให้ 50 ปี อยู่ระหว่างการพิจารณาของเอกชนคู่สัญญา