เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลายคนคงอยากจะรู้ว่าลึกเข้าไปในใจของ นายทักษิณ ชินวัตร เวลานี้เขามีความรู้สึกในใจอย่างไรกันแน่ หลังจากได้เห็นอดีต ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยหลายคน ต่างทยอยจากไปซบ “พรรคพลังประชารัฐ” ตามที่เป็นข่าวรายวัน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการออกมาแถลงกันแบบโจ่งแจ้ง แต่ในวงการหรือพวกคอการเมืองต่างก็รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ได้อย่างดี
แน่นอนว่า นาทีนี้จะข้ามไปยังไม่พูดถึงเรื่องความถูกผิดชอบชั่วดีกับเรื่องแบบนี้มีผลบวกหรือลบกับการเมืองยุคปฏิรูป เพียงแต่ต้องการโฟกัสให้เห็นว่าความเคลื่อนไหวที่ว่านี้เหมือนกับกำลังย้อนกลับเข้าหาตัว ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยทำแบบเดียวกันในอดีตตั้งแต่ยุคตั้งพรรคไทยรักไทย และที่น่าสนใจก็คือ คนที่ถูกจับตามองและถูกวิจารณ์ จาก ทักษิณ ชินวัตร ว่ากำลัง “ต่อท่อดูด” อดีต ส.ส.หรือนักการเมืองในเวลานี้ล้วนแล้วแต่เคยเป็นลูกน้องเก่า หรือคนที่ “เคยร่วมดูด” กันมาก่อนหน้านี้นั่นแหละ
แน่นอนว่า เวลานี้ในทางการเมืองต้องจับตามอง “กลุ่มสามมิตร” ที่มี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยเป็นเลขาธิการพรรคไทยรักไทย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รวมไปถึง นายสุชาติ ตันเจริญ คนพวกนี้ล้วนแล้วเคยอยู่ระดับ “แถวหนึ่ง” ของพรรคไทยรักไทย และที่สำคัญ พวกเขาแม้ไม่ใช่ระดับดาวเคราะห์ดวงใหญ่เมื่อเทียบกับ ทักษิณ แต่ก็ถือว่ามีพลังเป็นของต้วเองเหมือนกัน
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของพวกเขา อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการได้เห็นสัญญาณบางอย่าง อย่างน้อยก็ย่อมต้องมองเห็นถึงแนวโน้ม “ความคุ้มค่า” ที่จะเกิดขึ้นในทางการเมือง เพราะคนพวกนี้ไม่มีทางที่ยอมอยู่กับฝ่ายที่ไร้อำนาจ หรือเป็นไปได้ยากที่จะยอมเป็นฝ่ายค้าน
สำหรับคอการเมืองกำลังจับตามองไปที่ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ว่ากันว่าตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ให้ได้ “ไปต่อ” นั่นคือ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งในต้นปีหน้าอีกครั้งอย่างน้อยในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่มีเสียงนินทาว่ามีการสร้างกลไกเพื่อเอื้อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ “สานต่อ” ภารกิจที่ทำเอาไว้ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ ได้สำเร็จและบางอย่างก็ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ค่อยมาว่ากันอีกครั้งว่าจะถอยกลับไปบ้าน หรือจะไปต่ออีกหรือไม่
วกมาที่ “พลังดูด” ที่กำลังออกฤทธิ์เดชอย่างได้ผลและน่ากลัวอยู่ในเวลานี้ ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายย่อมมุ่งไปที่พรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร เป็นหลัก และหากโฟกัสไปในพื้นที่ก็แน่นอนว่าต้องมุ่งไปยังพื้นที่ภาคอีสาน และ ภาคเหนือ เป็นหลัก เหมือนกับในการยุทธศาสตร์ทางทหารก็ต้องมุ่งตีจุดสำคัญหรือจุดแข็งให้แตกเสียก่อน ซึ่งที่ผ่านมาก็ต้องถือว่า “แตก” ไปเรียบร้อยแล้ว
เพราะที่ผ่านมา หากพิจารณาจากเส้นทางของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ร่ำรวยมาจากธุรกิจสัมปทานผูกขาดด้านการสื่อสาร ก็มักใช้ความร่ำรวยของตัวเองในการสร้างเครือข่ายในแบบ “ธุรกิจการเมือง” แต่มาวันนี้เมื่อฝ่ายตรงข้ามของเขาที่ “รู้ทัน” และทำการบ้านมาอย่างดีรับรู้ถึงจุดอ่อนจุดแข็งของ “ระบอบทักษิณ” มานานหลายปี ที่เวลานี้ใช้ทั้ง “กระสุนบวกอำนาจ” นำมาใช้เสริมพลังดูด ซึ่งมันก็ย่อมเห็นผลอย่างมหาศาล เอาง่ายๆ คนที่ไปดูดก็ล้วนเคยเป็นลูกน้องทักษิณนั่นแหละเป็นมือไม้
ที่น่าสังเกตก็คือ เป้าหมายของพลังดูดเที่ยวนี้ ก็คือ ไม่ใช่ดูดเปะปะ แต่จะเน้นเฉพาะระดับ “ตัวหลัก” ที่ต้องทุ่มเทต่อรองกันนาน แต่หากได้ผลมันก็ย่อมส่งผลสะเทือนต่อสภาพจิตใจฝ่ายตรงข้ามจนเสียขวัญกันเลยทีเดียว เหมือนอย่างในเวลานี้ที่มีข่าวหนาหูและถามไถ่กันไม่ขาดปากกับการชิ่งหนีพรรคเพื่อไทยของ นายสุพล ฟองงาม อดีต ส.ส.อุบลราชธานี ที่เคยแบ็กกราวนด์เป็นถึงอดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เป็นแกนนำคนเสื้อแดงในชื่อ “กลุ่มชักธงรบ” มีฐานมวลชนในพื้นที่ นั่นย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าทั้งคนดูดและคนที่ถูกดูดย่อมไม่ธรรมดาทั้งคู่
ดังนั้น หากพิจารณากันเฉพาะเหตุการณ์และความเคลื่อนไหวแบบปัจจุบันทันด่วน และหากโฟกัสกันเฉพาะพลังดูดและเป้าหมาย ยังไม่มองไปถึงเรื่องอื่นมันก็พอมองเห็นแล้วว่านี่คือการย่อยสลายเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร ให้พังพินาศกันเลย และให้จับตาคำพูดบางคนที่เคยกล่าวทำนองว่า “ถึงมีเงินแต่ไม่ได้ใช้” นั่นก็อาจแสดงให้เห็นว่ากำลังจะมาเป็นขั้นเป็นตอน แต่สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร มันก็เหมือนกับ “กรรมที่ย้อนเข้าหาตัวเอง” นั่นแหละ !!