เมืองไทย 360 องศา
พิจารณาจากอาการ และความเคลื่อนไหวแล้ว ก็ต้องยอมรับกันแล้วว่า “ว่าที่” พรรคพลังประชารัฐ ที่ตามข่าวยืนยันว่าตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุน “บิ๊ก คสช.” หรือกล่าวให้แคบเข้ามาอีกก็คือสนับสนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ได้ “ไปต่อ” หรือเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ
ที่ต้องบอกว่าร้อนแรง และดูยิ่งใหญ่อลังการไม่ธรรมดาก็พิจารณาได้จากสียงร้อง เสียงโวยวาย หรือแม้แต่เสียงตัดพ้อจากฝ่ายตรงข้าม
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากอาการแล้ว เวลานี้ถือว่า พรรคเพื่อไทยส่งเสียงร้องดังลั่นกว่าใคร ซึ่งจะว่าไปแล้วนี่เป็นอาการที่น่าแปลกประหลาดที่เคยพบเคยเห็นสำหรับพรรคการเมืองที่นับต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ในยุคที่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย เรื่อยมาจนถึงเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2544 ที่พรรคไทยรักไทยก่อตั้งโดย นายทักษิณ ชินวัตร ในตอนนั้นก็ต้องบอกว่าอลังการหวือหวาน่าสนใจยิ่งกว่านี้หลายเท่า กล่าวได้ว่า ในตอนนั้นไม่ได้แคร์ใคร เพราะมีการใช้วิธีการจัดการทางการตลาดในแบบที่ใช้กับธุรกิจสื่อสารของเขาในเวลานั้นมาใช้
หรือหากบอกว่า “พลังดูด” ที่ใช้กล่าวหากันอยู่ในเวลานี้ ยังน้อยไปหากเทียบกับความเคลื่อนไหวแบบ “ซื้อกันยกพรรค” ยกกลุ่ม ไม่เชื่อก็ลองเลียบเคียงสอบถาม “พ่อใหญ่จิ๋ว” ว่า ลืมเรื่องพรรคความหวังใหม่ แล้วหรือยัง รวมไปถึง “ป๋าเหนาะ” เสนาะ เทียนทอง แห่งวังน้ำเย็น ดูเอาก็ได้ว่าจริงเท็จแค่ไหน
อย่างไรก็ดี เสียงโวยวายแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงแค่วันนี้หรือเมื่อวานนี้ แต่เกิดขึ้นมานานนับเดือนแล้ว เริ่มจากจับอาการหลักๆ จาก ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังถือว่าเป็น “เจ้าของพรรค” นี้อยู่เกิดอาการ “ปรี๊ดแตก” ด่าลั่นถึงขั้นแช่งชักพวก “ชิ่งหนี” ออกไป โดยกล่าวแบบประชดประชันในทำนองว่าขอบใจที่ออกไป เพราะคนพวกนี้จะต้องสอบตกแน่อะไรประมาณนั้น ซึ่งหากให้ตีความตามความรู้สึกก็เหมือนกับว่าโมโหจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ เพราะหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าพวกอดีต ส.ส. ที่ตีจากไปส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในระดับ “เกรดเอ” ทั้งสิ้น หรือไม่ก็เป็นระดับ “ทุนใหญ่” ถือว่าเป็น “ดาวฤกษ์” มีพลังในตัวเอง
แน่นอนว่า “พลังดูด” ที่เคลื่อนไหวออกมาให้เห็นในเวลานี้ ถือว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งบาง ไม่ใช่เฉพาะแค่พรรคเพื่อไทย เท่านั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็โดนออกไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน รายล่าสุดที่น่าจับตา ก็คือ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เจ้าของฉายา “หล่อเล็ก” ในภาคกรุงเทพมหานคร แม้ว่านาทีนี้ยังไม่ชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า “ไป” แล้วหรือยัง เพราะเจ้าตัวยังไม่ได้ยืนยัน มีเพียงแค่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่แสดงความมั่นใจว่าไม่หนีไปไหนแน่
แต่ถึงอย่างไรฝ่ายที่เก็บอาการไม่อยู่ มีเสียงร้องโวยวายแบบรายวันก็เห็นจะเป็นพรรคไทยรักไทยที่จะว่าไปแล้วไม่เคยแสดงอาการแบบนี้ให้เห็นมาก่อน ล่าสุด ยังส่งคนไปร้องเรียนกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวหน่อย ความหมายก็คือ ให้ “ขยับตัว” ขู่ให้หน่อย ไม่เช่นนั้นเลือดไหลหมดพรรคแน่
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาแบบนี้ก็ต้องเข้าใจกันก่อนว่าเราไม่สมควรให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบน้ำเน่าในยุคปฏิรูปแบบนี้ เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงถึงความเคลื่อนไหวในอีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ความอึกทึกครึกโครมของพรรคพลังประชารัฐ เพราะเพียงแค่เคลื่อนไหวเห็นแค่ “เงาตะคุ่ม” ในเงามืดเท่านั้นบรรดาพรรคใหญ่ถึงกับออกอาการนั่งกันไม่ติด บางพรรคถึงกับโวยวายไม่หยุดปาก โดยเฉพาะกับพรรคเพื่อไทย ที่ไม่เคยเห็นอาการแบบนี้มาก่อน ซึ่งในช่วงแรกๆ ก็ออกมาแบบเยาะเย้ย เนื่องจากคงมั่นใจในฐานเสียงอันมั่นคงของตัวเองทั้งในภาคอีสานและภาคเหนือว่าเจาะยังไงก็คงเจาะไม่เข้า แต่อาการที่เห็นในวันนี้ถือว่า “หนังคนละม้วน”
วันนี้มีการส่งคนไปร้อง กกต.ให้ตรวจสอบ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ รวมไปถึงรัฐมนตรีอีกสองสามคนว่าอยู่เบื้องหลังพลังดูด อ้างว่า มีการให้โน่นให้นี่มาหว่านล้อม ซึ่งจริงไม่จริงไม่รู้ แต่ความหมายก็คือบรรดาอดีต ส.ส. พวกนี้ล้วนเป็นระดับเขี้ยวลากดิน ย่อมมองออกว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นแบบไหน เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้เคยได้ประโยชน์กับพรรคไทยรักไทยและกับ ทักษิณ ชินวัตร มาวันนี้เหมือนคนพวกนี้ชิ่งหนีไป อีกด้านหนึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยย่อมไม่มีอนาคต
นาทีนี้ยังไม่ต้องมาเสียเวลามาพูดกันถึงอุดมการณ์ทางการเมืองของใครคนใดคนหนึ่ง หรือว่าพรรคใดจะดีกว่ากัน เพียงแต่ว่าแปลกใจอย่างยิ่งที่อาการสติแตกแบบนี้กำลังเกิดขึ้นกับ ทักษิฃร ชินวัตร และพรรคของเขา ที่กำลังอยู่ในอาการ “เลือดไหลไม่หยุด” แบบนี้ได้ เพราะที่ผ่านมามีแต่เยาะเย้ยไม่เคยให้ราคาใคร หรืออาจเป็นเพราะว่า “กรรมย้อนศร” หรือไม่ เพราะตอนเริ่มต้นก็เคยเห็นแบบนี้แหละ!!
