“อภิสิทธิ์” วางใจ “อภิรักษ์” มั่นคงไม่ย้ายพรรค เผยความพยายามทาบทาม เจ้าตัวบอกเองแค่คุยกับกลุ่มสามมิตร ที่เป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน เชื่อหลังอดีต ส.ส.ย้ายพรรค อาจเหลือคนหนุนผู้มีอำนาจไม่เต็มร้อย เย้ยยังไม่รู้ใครหลอกใคร
วันนี้ (2 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีข่าวนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกกลุ่มสามมิตรดูดว่า มั่นใจว่านายอภิรักษ์ไม่มีกรณีที่จะย้ายพรรค ตนพูดได้เลยโดยไม่ต้องพูดกับเจ้าตัวเพราะทำงานกับอภิรักษ์มา 14-15 ปีแล้ว นายอภิรักษ์เป็นคนมีความมั่นคง เป็นสมาชิกพรรคก่อนที่จะเข้ามาสู่การเมืองนาน และก่อนลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. และวันที่นายอภิรักษ์เข้ามา พรรคอยู่ในภาวะที่ลำบากมาก เรียกว่าระดับชาติก็แพ้การเลือกตั้ง เป็นที่คาดหมายว่ายังต้องฝ่ายค้านอยู่ และการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. ตนจึงมองว่าความมั่นคงตรงนี้วางใจได้ และหลังจากที่ตนให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ก็ได้โทรศัพท์ไปหานายอภิรักษ์ว่าไม่ได้คุยกันก่อน แต่ให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่าไม่ย้าย นายอภิรักษ์ก็บอกว่าถูกต้องแล้ว แต่ที่ช่วงหลังนายอภิรักษ์ไม่ค่อยได้มาพรรค ตนก็ทราบ เพราะนายอภิรักษ์มาคุยกับตนว่าหลังจากมีการปฏิวัติก็ไปทำธุรกิจและภาระค่อนข้างเยอะ ไปดูแลธุรกิจที่ตัวเองริเริ่มทำ
“ผมก็มั่นใจอย่างนี้ และคุณอภิรักษ์ก็บอกว่าบังเอิญคนที่ใกล้ชิดกับกลุ่มสามมิตรบางคนมีตำแหน่งในรัฐบาลก็เป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน ก็มีการพูดคุย แต่ไม่ได้ลึกลงไปขนาดนี้ ผมก็บอกว่าทราบว่ามีความพยายามที่จะติดต่อกับคุณอภิรักษ์ ผมก็บอกว่ามั่นใจและวางใจ จึงเฉยๆ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่า ไม่คิดว่าระบบอุปถัมภ์จะดึงนายอภิรักษ์ไปได้ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล คนในพรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่งที่อยู่มาถึงวันนี้ ก็เคยเจอกับข้อเสนออะไรแบบนี้มา ที่ไปก็มี ที่อยู่ก็มี เช่น นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีตรองหัวหน้าพรรค ที่อยู่แพร่ ก็เคยเจอข้อเสนอเยอะ และยังมีอีกหลายคนซึ่งตนก็พอมองออกมาบุคคลไหนที่มีความหนักแน่น ก็ดูอยู่ว่าจะมีความหนักแน่นแค่ไหน หลายคนยอมรับว่าอาจจะมองผิด เพราะไม่คิดว่าจะไปแต่ก็ไปก็มีเยอะ คนที่อยู่ก็มีเยอะ
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า เมื่อมีการย้ายพรรคแบบนี้เป็นเรื่องที่ตอบยากว่าใครคุมใคร เพราะต่างก็แสวงหาผลประโยชน์ ฝ่ายหนึ่งก็คิดแค่ว่าขอให้มีฐานเสียงก็พอ อีกฝ่ายก็คิดว่าจะเข้าไปอยู่ในศูนย์อำนาจได้อย่างไร ฉะนั้น ตราบเท่าที่ผลประโยชน์ตรงกันก็ไปด้วยกันได้ พอถึงจุดที่เกิดสถานการณ์ไม่ลงตัวในที่สุดก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็เป็นที่มาของพรรคเฉพาะกิจที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายยุคหลายสมัย ตนว่าสิ่งที่สำคัญกว่าคือทำอย่างไร สังคมจะให้ความสำคัญกับการที่จะต้องสนับสนุนพรรคการเมืองที่ไม่มีลักษณะอย่างนี้ เพื่อให้การเมืองหลุดพ้นจากวงจรอย่างนี้มากกว่า ทั้งนี้เชื่อว่ามีความไม่แน่นอนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง และสถานการณ์หลังการเลือกตั้งอีกหลายเรื่อง เพราะฉะนั้น ตนยังไม่ได้มองไปไกลว่าภารกิจสำเสร็จแล้วจะไปมีปัญหากันทีหลัง
“ผมขอยกตัวอย่างว่า ผมมั่นใจว่าจะมีอดีต ส.ส.บางกลุ่มที่ตอนนี้ได้ตำแหน่ง แต่ในที่สุดก็จะไม่มีการไปรวมในพรรคและมั่นใจว่าบางพรรคการเมืองซึ่งผู้มีอำนาจในขณะนี้เข้าใจว่า เป็นฐานสนับสนุนได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังการเลือกตั้งอาจจะไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ อาจจะกลายเป็น 50-50 หรืออาจจะเปลี่ยนใจ ซึ่งเป็นเกมที่เขาเล่นกันระหว่างคนที่การเมืองเรื่องผลประโยชน์ จะบอกว่าใครหลอกใครก็คงต้องไปดูว่าสุดท้ายใครได้เปรียบเสียเปรียบ” นายอภิสิทธิ์กล่าว