อัดงบกลางปี 61 ให้ “ทีมบริหารอีอีซี” เพิ่ม 75 ล้าน เน้นศึกษาขยายพื้นที่เพิ่มเติม ครอบคลุมพื้นที่โดยรอบเชื่อมโยงกับ 3 จังหวัดเดิม เผย 3 ปีใช้แล้วกว่ามากกว่า 1 พันล้าน เฉพาะจ้างที่ปรึกษา 40 ล้าน/จ้างฝ่ายกฎหมาย 20 ล้าน ร่วมคัดเลือกเอกชน ตามโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
วันนี้ (2 ก.ค.) แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมือเร็วๆ นี้ คณะรัฐมนตรี (ครม. 27 มิ.ย.61) อนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการบริหารสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จำนวน 75 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหาร โดยงบประมาณส่วนนี้ ใช้เพื่อศึกษากำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพิ่มเติม หลังจากมอบหมายให้สำนักงาน สกพอ. ศึกษาความเหมาะสม ในการขยายพื้นที่ อีอีซี เพิ่มเติม ครอบคลุมพื้นที่โดยรอบเชื่อมโยงกับ 3 จังหวัดเดิม
ก่อนหน้านั้น สนช.ได้เห็นชอบใน ร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้สามารถ ตราพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ให้พื้นที่บางส่วนในเขตจังหวัดที่ติดต่อหรือเกี่ยวข้องกับพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการดังกล่าว ให้เป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกด้วย
มีรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านั้น (ครม. มิ.ย.60) เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 212,173,500 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) หลังจาก กระทรวงอุตสาหกรรม ของบประมาณเพิ่มเติมประจำปี 2560 สำหรับการบริหารสำนักงาน สกพอ. จำนวน 498 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายรายการค่าตอบแทนบุคลากร ค่าเบี้ยประชุม ค่าสำนักงาน ค่าประชาสัมพันธ์ ค่าจัดทำแผนการลงทุน ค่าชักชวนนักลงทุนรายสำคัญ แต่สำนักงบประมาณ พิจารณาอนุมัติให้เบิกจ่ายจากงบรายจ่ายประจำปี 2559 งบกลาง ในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งได้กันเงินไว้เหลื่อมปี จำนวน 71.52 ล้านบาท
แต่กระทรวงอุตสาหกรรม ไม่ได้ตั้งงบประมาณในการบริหารสำนักงาน ซึ่งเป็นค่าจัดทำแผนการลงทุน เสริมสร้างภาพลักษณ์และการสื่อสาร การจัดทำมาตรการชักชวนนักลงทุนและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ดังนั้น จึงต้องขอเบิกงบกลางปี จำนวน 212.27 ล้านบาท
สำหรับงบประมาณส่วนนี้ แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายบริหารสำนักงาน 10.90 ล้านบาท ค่าจัดทำแผนการลงทุน 121.96 ล้านบาท ค่าเสริมสร้างภาพลักษณ์และการสื่อสาร 30 ล้านบาท ค่าจัดทำมาตรการชักชวนนักลงทุน 11.05 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเดินทางไปต่างประเทศ 38.35 ล้านบาท
มีรายงานว่า ล่าสุด สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ตลอด 3 ปี (2559-2561) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหาร แล้วมากกว่า 1,000 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณ เช่น การออกโรดโชว์ชักชวนนักลงทุนรายสำคัญ ในประเทศต่างๆ เป็นต้น
สำหรับงบประมาณ ที่ สกพอ. ใช้ดำเนินการไปแล้วและกำลังจะดำเนินการ เช่น โครงการจ้างที่ปรึกษาด้านกฎหมายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและคณะกรรมการคัดเลือกโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา) วงเงิน 20 ล้านบาท
โครงการจ้างที่ปรึกษาสนับสนุนการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 วงเงิน 40 ล้านบาท, โครงการประชาสัมพันธ์ขับเคลื่อนโครงการอีอีซีผ่านเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ วงเงิน 1.5 ล้านบาท, โครงการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจและส่งเสริมการมีส่นร่วมของผู้นำชุมชนในพื้นที่ วงเงิน 3 ล้านบาท, เช่าอาคารสำนักงานและเช่าเฟอร์นิเจอร์ เพื่อเป็นศูนย์ปรึษาการลงทุน วงเงิน 32.1 ล้านบาท, ชุดคอมพิวเตอร์/โปรแกรม วงเงิน 2.2 ล้านบาท เป็นต้น