ข่าวปนคน คนปนข่าว
** เลี้ยงไว้เปลืองภาษี!! “ผกก.หนุ่ย”ลาราชการ ไปดูที่เรียนให้ลูกถึงอังกฤษ แต่โผล่ไปหิ้วถุงตามก้น “ยิ่งลักษณ์”ผู้หลบหนีคดีอาญา “ศรีวราห์”บ้อท่า รับคงแค่“ผิดวินัย”เรียกตัวกลับด่วน พร้อมตั้งกรรมการสอบสวน แบบนี้ไม่น่าเอาไว้ให้เปลืองภาษี เพราะอดีตก็เคย “หลบราชการน”ไปอารักขา “ทักษิณ”สมัยหนีคดีใหม่ๆ มาแล้ว
ไม่ผิดหรอก .. ที่จะมีภาพ “คุณหนูปู”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้หลบหนีโทษจำคุก ไปลั๊ลลาใช้ชีวิตดีดีย์ อยู่ใจกลางมหานครลอนดอน เพราะรับรู้กันอยู่แล้วว่า พำนักอยู่ที่นั่นเป็นหลักอยู่แล้ว .. แต่พลันที่โลกโซเชียลแชร์ภาพที่ “ยิ่งลักษณ์”กำลังเดินเข้าอาคารแห่งหนึ่ง ติดแฮกแทกว่า # เจอคุณยิ่งลักษณ์ .. พร้อมเช็กอิน ระบุสถานที่ คือ The Beaumont โรงแรมหรูกลางเมืองหลวงประเทศอังกฤษ ประเด็นจึงไม่ใช่ว่า คุณเธอใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายเพียงใด .. แต่ประเด็นมันอยู่ที่ “ชายคนหนึ่ง”ที่ร่วมเฟรมด้วย ในขณะเดินถือถุงชอปปิ้งตาม “คุณหนูปู”มีหน้าละม้าย “ผู้กำกับหนุ่ย”พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย นายตำรวจคนดังไม่ผิดเพี้ยน .. เป็น “ผู้กำกับหนุ่ย” อดีตนายตำรวจผู้ติดตาม ทักษิณ ชินวัตร สมัยเรืองอำนาจ ก่อนโอนมาเป็นบอดี้การ์ดให้ “น้องปู” ช่วงที่เป็นนายกฯ .. เป็น พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย ที่ปัจจุบันยังเป็น“ตำรวจในราชการ”ตำแหน่ง ผกก.ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ศูนย์พัฒนาด้านการข่าว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล .. การที่ “ตำรวจในราชการ” มีภาพอยู่กับ “ผู้ต้องโทษหลบหนีคดี” แม้จะอยู่ในต่างประเทศ ที่ไม่มีอำนาจจับกุม แต่ก็เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง .. ไม่เท่านั้น “ผู้กำกับหนุ่ย”ก็เคยมีประเด็นมาแล้วหนหนึ่ง เมื่อถูกถามว่าไปติดตาม “ยิ่งลักษณ์” ไปทุกสถานที่ สมัยที่ยังไม่หลบหนีในฐานะอะไร .. ก่อนที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จะแก้ต่างให้ว่า ช่วงนั้นมีการขอตัวไปทำหน้าที่อารักขาตามระเบียบราชการแล้ว .. แล้วก็ยังไม่ใช่ครั้งแรกที่ “ผู้กำกับหนุ่ย” ไปดูแล “นายเก่า” ที่ต่างแดน สมัย “ทักษิณ” หลบหนีคดีใหม่ๆ ก็เคยตามลูกพี่อย่าง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ต.อรรถกฤษณ์ ธารีฉัตร ไปเป็นทีมอารักขา “นายใหญ่ดูไบ” อยู่ตลอด ..
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้มีการเปิดเผยจาก “บิ๊กปู”พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. บอกว่า “วทัญญู”ได้ยื่นลาราชการระหว่างวันที่ 25 มิ.ย. ถึง 13 ก.ค. .. ระบุเหตุผลการลาว่า ไปจัดการเรื่องที่เรียนของบุตรที่ประเทศอังกฤษ เมื่อปรากฏภาพไม่เหมาะสมที่คงเข้าข่ายแค่ “ผิดวินัย” แต่ “ไม่ผิดกฎหมายอาญา” ก็ได้ยกเลิกการลา และตามกลับมารายงานตัว พร้อมตั้งกรรมการสอบสวนทันที .. หลักฐานคาตาเช่นนี้ ก็อย่าสอบประเภท “พอเป็นพิธี” และ “บิ๊กตำรวจ” ต้องใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด เพื่อขจัด “เหลือบไร สตช.” ที่ถ่วงองค์กรแบบนี้ .. แล้วควรจะสอบต่อถึง “เส้นทางการเงิน” ด้วยว่า เป็นแค่ “นายพันตำรวจ” เอาเงินที่ไหนส่งลูกไปเรียนถึงประเทศอังกฤษ .. ลำพังเงินเดือน 4-5 หมื่นบาทจากราชการ ไม่น่าจะพอ แต่หากมีรายได้ตอบแทนความจงรักภักดีจาก “พี่น้องชินวัตร” อันนั้นก็อีกเรื่อง .. เชื่อแน่ว่า ประชาชนในฐานะ “ผู้เสียภาษี” และเป็นนายจ้างของ “ผู้กำกับหนุ่ย” คงอยากให้ปลดนายตำรวจคนนี้ให้พ้นจากราชการ และให้ไปกินเงินเดือน “พี่น้องชินวัตร” ให้รู้แล้วรู้รอด อย่าอยู่เป็นภาระภาษีประชาชนอีกเลย.
**ไม่เลิกก็ต้องทบทวน!! “บีทีเอส”รู้ปัญหาคลื่นแทรกอยู่แล้ว แต่ไม่คิดป้องกัน เหตุไม่อยากเสีย “ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น” จนทำคนเดือดร้อนเป็นแสนๆ กทม. สั่งปรับจิ๊บจ๊อย แค่ 1.8 ล้านบาท ผลพวงจาก “สัญญาอัปยศ” มรดกต่างหน้า “สุขุมพันธุ์”ที่ทิ้งไว้ให้กับคนกรุง ที่เอื้อแต่ปรับขึ้นค่าโดยสาร แต่ไม่บังคับให้ปรับปรุงบริการ
ว่าไงก็ว่าตามกัน .. เห็นทาง ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. สรุปหลังคุยกับ “บีทีเอส - ทีโอที - ดีแทค”ว่า สัญญาณคลื่น 2300 MHz มีผลกระทบทำให้ระบบอาณัติสัญญาณของ “บีทีเอส” ขัดข้องจริงๆ .. โดยระบุว่า ช่วงสัญญาณ 2310-2370 MHz ที่ “ทีโอที” เพิ่งให้ “ดีแทค” ใช้ ไปรบกวนคลื่น ช่วง 2400 MHz ที่ทาง “บีทีเอส” ใช้ในการควบคุมรถไฟฟ้า .. พร้อมมีแนวทางแก้ไขปัญหาออกมาว่า จะให้ “ทีโอที” ปิดการใช้งานคลื่น 2300 MHz ตามแนวรถไฟฟ้าไว้ชั่วคราวจนกว่า “บีทีเอส” จะเปลี่ยนอุปกรณ์เสร็จภายใน 2 วันนี้ .. โดยทาง “บีทีเอส” จะย้ายการไปใช้งาน คลื่นที่ช่วง 2480-2495 MHz ที่อยู่ช่วงปลายๆ ของย่านความถี่ จะได้ไม่ถูกคลื่นอื่นมาแทรกอีก .. เอาเป็นว่า เป็นการร่วมด้วยช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ลุล่วง แม้ “ข้อมูลทางเทคนิค” จะระบุว่า ช่วงสัญญาณ 2310-2370 MHz ที่ห่างจากช่วง 2400 MHz ถึง 30 MHz ซึ่งไม่น่าจะมีการรบกวนกัน .. และใน “ความเป็นจริง” ทาง กสทช. ก็ได้เตือน “บีทีเอส” มาก่อนหน้านี้แล้วว่า คลื่นช่วง 2400 MHz เป็นคลื่นเดียวกับที่ให้สัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายหรือ “ไวไฟ” อาจจะเกิดปัญหาคลื่นรบกวนได้ .. แต่ “ความเป็นจริง” อีกเช่นกัน ที่ทาง “บีทีเอส”ยังก้มหน้าก้มตาใช้คลื่นความถี่ แบบไม่ได้ทำระบบป้องกัน การรบกวน เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก เพราะจะมี “ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น” ..
ด้วยความที่ “บีทีเอส” คิดว่า “ถือไพ่เหนือกว่า” ทั้งสัญญาสัมปทานที่อยู่ยาวๆไปหมดเอาปี 2585 นู่น .. หรือการที่ไม่เคยยกระดับปรับปรุงการบริการ เอาแต่ปรับขึ้นค่าโดยสาร แต่คนก็ยังแห่มาใช้บริการคับคั่ง สร้างผลกำไรให้กับอาณาจักรของ คีรี กาญจนพาสน์ เจ้าพ่อบีทีเอส เป็นกอบเป็นกำ .. แถมเจ๊งสารพัดจะเจ๊ง ปีนี้พังไปร่วม 30 หน แต่บทลงโทษจาก กรุงเทพมหานคร (กทม.) ในฐานะ “เจ้าของสัมปทาน” ก็ยัง “จิ๊บจ๊อย” อย่างไม่น่าเชื่อ .. ตามคิวที่ “เสี่ยจั๊ม”สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า กทม. สั่งปรับเงิน “บีทีเอส” เป็นเงิน “1.8 ล้านบาท” เป็นค่าชดเชยถึงความ ผิดพลาดที่เกิดขึ้น พร้อมย้ำอีกหนว่า การเลิกสัมปทานทำยาก .. ค่าปรับ “1.8 ล้านบาท” เป็นเศษเงินที่เทียบไม่ได้เลยกำไรของ “บีทีเอส” และเทียบไม่ได้กับความเดือดร้อนของผู้ใช้บริการนับแสนๆราย ที่ต้องประสบเลย .. มาทรงนี้แล้วแคมเปญ “#ยกเลิกสัมปทานBTS” คงเป็นจริงได้ยาก แต่หลังวิกฤตหนนี้แล้ว อย่างน้อยๆ ก็ควรมีการ “ทบทวนสัญญา” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง .. จะปล่อยให้ “บีทีเอส” ทำตัวเป็น “เสือนอนกิน” จากอานิสงส์ “สัญญาอัปยศ” ที่ “หม่อมหมู”ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯ กทม. ทิ้งไว้ต่างหน้า คงไม่ถูกต้อง
**ทุกนาทีคือความหวัง!! เข้าวันที่ 5 ยังไม่พบ “ทีมหมูป่า”แต่ในทางปฏิบัติก็ต้องถือเป็น “สัญญาณที่ดี”ว่า ทั้ง 13 ชีวิตยังอยู่รอดปลอดภัย เหนื่อยใจแทนเจ้าหน้าที่เจอ “พวกฟังไม่รู้ความ”เกะกะขวางทาง แถมแฝงตัวขโมย น่าชื่นชม “ทีมกู้ภัยต่างชาติ”โชว์ความเป็นมืออาชีพ ปัดให้สัมภาษณ์สื่อ บอก “งานของเขาคือการมาช่วยเหลือผู้ประสบภัย”
อดทนไว้ก่อนนะ .. คือเสียงที่คนไทยอยากจะตะโกนไปให้ถึง “ทีมหมูป่า”นักฟุตบอลเยาวชน พร้อมด้วยโค้ช รวม 13 ชีวิต ที่พลัดหลงติดอยู่ภายใน “ถ้ำหลวง”เขตวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่เย็นวันที่ 23 มิ.ย. .. เป็นวันที่ 4 ติดต่อกันแล้ว ที่ทุกภาคส่วน “รัฐ -เอกชน - ประชาชน” ระดมสรรพกำลังจากทั่วทุกสารทิศ เข้าร่วมปฏิบัติการค้นหาน้องๆ นักฟุตบอล และโค้ชทีม "หมูป่าอะคาเดมี่แม่สาย" .. แม้จะยังไม่พบ แต่ในทางปฏิบัติก็ต้องถือเป็น “สัญญาณที่ดี”ว่า ทั้ง 13 ชีวิตยังอยู่รอดปลอดภัย .. ไม่เพียงแต่เป็น “วาระแห่งชาติ”เท่านั้น ยังได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ จากทุกมุมทั่วโลก สวีเดน อังกฤษ เยอรมนี ลาว ฟิลิปปินส์ หรือ สหรัฐฯ เข้าร่วมปฏิบัติการกับ “เจ้าหน้าที่ไทย”ครั้งนี้เป็นอย่างดี ราวกับเป็นการรวมตัวของ “ซูเปอร์ฮีโร่” .. หากแต่ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างยากลำบาก เผชิญกับอุปสรรคนานานัปประการ และยังต้องแข่งกับเวลา ภายใต้ความคิดที่ว่า “ทุกนาที คือความหวัง” ด้วยรู้ดีว่าทั้ง 13 ชีวิต รอคอยความช่วยเหลืออยู่ภายในถ้ำ .. ก็ยังพบปัญหาประเภท “เรื่องไม่ใช่เรื่อง” อยู่ตลอดเวลา ทั้งที่มีการขอความร่วมมือก็แล้ว จัดระเบียบก็แล้ว ..
ทั้งชาวบ้านผู้ไม่เกี่ยวข้อง หรือสื่อมวลชนที่ช่วงแรกทำหน้าที่โดยละเลย “จริยธรรม” ไปพอสมควร .. ก็ไม่น่าเชื่อว่าล่วงเลยมาเกินกว่า 72 ชั่วโมง ก็ยังมีประเภท “ฟังไม่รู้ความ” ไประเกะระกะ ขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ .. ทั้ง “ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง” ที่แห่แหนกันขึ้นไปราวกับพบสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพียงเพื่อไปถ่ายรูปเช็กอินตามกระแส .. หรือพ่อค้าแม่ขาย ที่เล็งเห็น “ทำเลทอง” ขนข้าวของขึ้นมาตั้งแผงค้า ยาวเป็นแถบๆ ราวกับมีงานมหรสพ .. เป็นอุปสรรคที่ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก ยังผลให้เจ้าหน้าที่ ทหาร-กู้ภัย ต้องขนเครื่องไม้เครื่องมือลงจากรถแล้วเดินเท้าไปยังหน้างาน .. ไม่แค่ไปเกะกะหน้างาน ยังมีประเภท “โจรขโมย” ที่แฝงตัวเข้าไป ลักบันได-เครื่องมือของเจ้าหน้าที่เขาอีกด้วย .. หรืออย่างการจัดระเบียบสื่อมวลชน ห้าม “ไลฟ์สด”เด็ดขาด เพื่อป้องกันความสับสน ท่ามกลางกระแสข่าว “จริง - ปลอม”มั่วไปหมด .. แล้วยังป้องกันการแย่งสัญญาณสื่อสารของเจ้าหน้าที่ แต่ก็ยังมีคนระดับ “รอง ผบ.ตร.”ที่ช่วงหลังดูจะ “เสพติดโซเชี่ยล” ขยับตัวเป็นต้องประกาศให้โลกรับรู้ งานใหญ่ขนาดนี้ย่อมไม่พลาด โผล่ไป “ไลฟ์สด”กับเขาด้วย .. ไลฟ์สดบรรยากาศไม่ว่า ยังเบียดบังสัญญาณที่น้อยนิดในพื้นที่ ไลฟ์สดช่วงที่ตัวเองใหสัมภาษณ์กับสื่ออีกด้วย ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบโดยตรง อีกทั้ง “คนรับผิดชอบ”ก็แจ้งข่าวผ่านสื่อเป็นระยะๆ อยู่แล้ว .. ผิดกับ “ทีมกู้ภัยต่างชาติ”ที่นอกจากแสดงน้ำใจมาร่วมภารกิจนี้แล้ว ยังปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ โดยบอกแค่ว่า “งานของเค้าคือการมากู้ภัย ไม่ใช่มาคุยกับสื่อ” .. แสดงให้เห็นความเป็นมืออาชีพแบบสุดๆ ประมาณว่า “ทำมากกว่าพูด” ได้ยินแบบนี้ “พวกพรีเซนต์เฟซ” ควรสำนึกมั่งนะ
ช.ชฎา