“อภิสิทธิ์” เชื่อจัดเลือกตั้งหลังพระราชพิธี ไม่กระทบโรดแมปกุมภาพันธ์ 62 แนะปลดล็อกทำบางกิจกรรมในเวลาที่เหมาะสม เปิดทางพรรคการเมืองทำไพรมารีโหวต ยัน ปชป.พร้อมเดินหน้า แต่ห่วงกลายเป็นแค่พิธีกรรม ไม่ตรงตามเจตนารมณ์กฎหมาย
วันนี้ (20 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหลังพระราชพิธีสำคัญว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่าไม่มีอะไรขัดแย้งกับโรดแมป คนไทยก็อยากเห็นความสงบในช่วงพระราชพิธีสำคัญอยู่แล้ว ส่วนจะเป็นสัญญาณว่าจะไม่มีการปลดล็อกทางการเมืองในช่วงเวลานี้หรือไม่นั้น คงบอกไม่ได้ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็มีแนวโน้มที่จะเชิญพรรคการเมืองไปหารือเกี่ยวกับการทำกิจกรรมทางการเมืองภายใน 2 สัปดาห์นี้ จึงไม่ทราบว่า คสช.จะดำเนินการอย่างไร ต้องรอฟังก่อน
เขากล่าวว่า สิ่งแรกที่คิดว่า คสช.ต้องสะสางก่อน คือ เรื่องข้อกฎหมายที่ติดพันกันอยู่ เช่น ปัญหาของพรรคการเมืองที่จะประชุมใหญ่ได้หรือไม่ เพราะมีหรือไม่มีสาขา จะตั้งสาขาได้หรือไม่ เพราะยังประชุมใหญ่ไม่ได้ รวมถึงการไล่ดูให้พรรคการเมืองมีสมาชิกเพียงพอที่จะส่งผู้สมัคร ส.ส. และมีสมาชิกพอที่จะทำไพรมารีโหวตจะทำอย่างไร สิ่งเหล่านี้ไม่เห็นว่าจะกระทบต่อความสงบเรียบร้อย หากมีพรรคการเมืองใดไปทำกิจกรรมที่สร้างความวุ่นวายก็มีแต่จะทำให้สังคมไม่เอาด้วย เพราะสังคมต้องการเห็นความสงบ จึงเชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามเดิมคือเดือนกุมภาพันธ์ 2562 มีการเลือกตั้ง เพราะนายกรัฐมนตรีก็ยังยืนยันเรื่องนี้อยู่
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ก็มีการเตรียมความพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย เดินหน้าออกแบบอำนวยความสะดวกในเรื่องการรับสมาชิกใหม่ ถ้ามีการปลดล็อกก็จะมีการอำนวยความสะดวกให้แก่สมาชิกใหม่ผ่านแอพพลิเคชั่นได้อย่างเต็มที่ และจำนวนสมาชิกที่จำเป็นต้องมีเพื่อจัดทำไพรมารีโหวตได้ก็วางเป้าหมายไว้แล้วว่าหลังปลดล็อกกี่วันต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น และพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการทั้งหมด
ส่วนที่ พล.อ.ประวิตรระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะใช้มาตรา 44 งดเว้นการทำไพรมารีโหวตนั้น ยังไม่ทราบว่าจะมีการดำเนินการจริงหรือไม่ แต่ถ้าทำจริงก็ต้องอธิบายหรือมีมาตรการรองรับให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเรื่องการให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในการสรรหาผู้สมัคร เพราะมีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเขียนไว้ด้วย อย่างไรก็ตามเห็นว่าหากมีการปลดล็อกในช่วงเวลาที่เหมาะสมทุกอย่างก็เดินได้ ทั้งนี้ หากได้รับเชิญไปให้ความเห็นก็จะอธิบายในทางปฏิบัติว่ามีปัญหาอย่างไรกับการออกกฎหมาย เพราะที่ผ่านมาไม่มีมุมมองของผู้ปฏิบัติ จึงต้องชี้แจงว่ามีเงื่อนไขอะไรบ้างที่จะทำให้สำเร็จตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
โดยสิ่งที่เป็นห่วง คือ หลายเรื่องที่จะทำตามกฎหมาย ไม่ได้คิดถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้ว แต่กลายเป็นเรื่องของการทำเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ตามกฎหมายหรือทำเพื่อให้เป็นพิธีกรรม เช่น หากการหาสมาชิก ตั้งสาขาทำได้ยาก สุดท้ายตัวไพรมารีอาจเหลือแค่ 100 คนในจังหวัด ประชุมแค่ 50 คน ลงคะแนนอาจจะน้อยกว่าที่เคยใช้กรรมการบริหารพรรค ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้ไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วม
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม ที่เดินสายพบนักการเมืองหลายจังหวัดเพื่อสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งว่า การจะตั้งพรรคใหม่หรือเชิญชวนให้ใครย้ายพรรคเป็นเรื่องที่ทำได้ นักการเมืองที่จะย้ายสังกัดต้องมีเหตุผลที่จะตอบกับสังคม แต่สิ่งที่ตนและพรรคพูดมาตลอด คือ ขอให้เป็นเรื่องความคิดและจุดยืนทางการเมือง ไม่ใช่การเสนอผลประโยชน์ตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง ตำแหน่ง หรือการต่อรองเรื่องคดีความเหมือนที่เคยเกิดในบางยุค เพราะหากยอมรับให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น การเมืองก็ไม่มีทางดีขึ้นได้ แต่จะหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาผลประโยชน์ ถ้าใช้สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรยอมรับ ใครที่มีอำนาจคิดจะทำก็อย่าทำ เพราะถ้าทำก็จะเป็นการทำลายแนวความคิดเรื่องการปฏิรูปประเทศ และปฏิรูปการเมืองทั้งหมด ไม่มีสิทธิที่จะพูดคำว่าธรรมาภิบาลอีกต่อไป จึงเห็นว่านายกรัฐมนตรีควรมีความชัดเจนในฐานะผู้ถืออำนาจรัฐว่าไม่สนับสนุนพฤติกรรมเหล่านี้ และต้องไม่ให้เกิดขึ้นไม่ว่าใครจะทำก็ตาม ยิ่งถ้าคนทำเกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีก็ต้องยิ่งมีความชัดเจนในเรื่องนี้ เพราะคนที่ทำก็พูดในแวดวงการเมืองตลอดว่าเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจ ดังนั้น หากมีรายงานว่ามีพฤติกรรมดังกล่าวก็ควรตรวจสอบและแสดงจุดยืนให้ชัดว่าไม่สนับสนุน ไม่เช่นนั้นก็ต้องเลิกพูดคำว่าธรรมาภิบาลและปฏิรูปประเทศได้แล้ว อีกทั้งองค์กรที่ดูแลเรื่องความสุจริตคือ กกต.และ ป.ป.ช.ก็ต้องดูว่าจะป้องปรามอย่างไร
“ไม่ต้องพูดถึงว่า พล.อ.ประยุทธ์จะสง่างามจากการใช้วิธีการเหล่านี้หรือไม่ แต่ถ้ากระบวนการได้มาซึ่งอำนาจเริ่มต้นแบบนี้ เราไม่สามารถคาดหวังเรื่องการเมืองที่สุจริต และมีธรรมาภิบาลได้ ซึ่งผมไม่ได้กังวลใจเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองเพราะการแข่งขันมีได้หลายรูปแบบ แต่ไม่อยากเห็นความไม่ถูกต้อง เพราะประเทศไทยเสียโอกาสกับปัญหาการเมืองที่ล้มเหลวมานาน ถ้าจะหลุดพ้นจากวงจรนี้ได้ต้องเริ่มต้นจากหลักการของการเลือกตั้งที่สุจริต เที่ยงธรรม เสรีและเป็นธรรม วิธีการที่เอาอำนาจรัฐ ผลประโยชน์มาใช้เรื่องเหล่านี้ก็สวนทางกันโดยสิ้นเชิง” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนกระแสข่าวที่ว่ามีการทุ่มเงิน 30-50 ล้านบาทซื้อตัว ส.ส.นั้น นายอภิสิทธิ์เห็นว่า หากเป็นความจริงก็จะทำให้ไม่ได้รัฐบาลและสภาที่ดี โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เองก็มีข่าวเกี่ยวกับการถูกดึงตัวด้วย แต่ไม่มีปัญหารุนแรงในเรื่องการเสนอเงิน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม ภาพรวมยังค่อนข้างนิ่ง และมีคนที่อยากเข้ามาเสริมในส่วนของพรรคมากพอสมควร
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ตัดสินจำคุกนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีต รมว.ต่างประเทศ เป็นเวลา 2 ปี กรณีออกพาสปอร์ตให้นายทักษิณ ชินวัตร โดยไม่ชอบว่า ตนย้ำมาตลอดว่านักการเมืองต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ยึดหลักความถูกต้อง ถ้าไปโอ่นอ่อนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคพวกก็ต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด ยังมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ได้