xs
xsm
sm
md
lg

“หมอระวี” ชี้เลือกตั้งปี 62 พรรคทหาร-เพื่อไทยบี้กันหนัก ปชป.ตัวแปร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นพ.ระวี มาศฉมาดล
“หมอระวี” หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ รับบทโหรการเมืองทำนายเลือกตั้งปี 62 ว่าจะเป็นการต่อสู้ของ 2 พรรคใหญ่ “พรรคทหาร-พรรคเพื่อไทย” โดย ปชป.เป็นตัวแปร พร้อมระบุจะมีเงินสะพัดมโหฬารนับแสนล้านบาท

วันนี้ (12 พ.ค.) นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวถึงการเลือกตั้งปี 2562 ที่จะมาถึงว่าจะเป็นการต่อสู้ของ 2 พรรคใหญ่ คือ พรรคทหาร กับพรรคเพื่อไทย โดยจะแตกต่างจากการต่อสู้การเมืองในอดีต เพราะจะเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองและเครือข่าย คือพรรคการเมืองที่ประกาศชัดเจนว่าสนับสนุนทหาร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี กับอีกหลายพรรคการเมืองที่ประกาศไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจะเป็นพรรคเครือข่ายพรรคเพื่อไทย

ดังนั้น ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่ดุเดือดที่สุด เงินอาจจะสะพัดเป็นแสนล้านบาท โดยมองจากฝ่าย นายทักษิณ ชินวัตร หรือพรรคเพื่อไทย สงครามครั้งนี้จะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย ถ้าไม่ทุ่มเต็มที่อาจจะไม่มีโอกาสกลับเข้ามาอีกถ้าแพ้พรรคทหาร ส่วนพรรคทหารมีเป้าหมายคือให้ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็จะต้องทุ่มเททุกวิถีทาง ด้านพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้จะเป็นตัวรอง แต่จะเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด หากเข้าร่วมกับพรรคใดพรรคนั้นก็จะมีโอกาสเป็นรัฐบาล

“ในการเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทยเคยได้คะแนน ส.ส.สัดส่วนทั้งประเทศ เกือบร้อยละ 50 ดังนั้น การเลือกตั้งในปี 2562 พรรคเพื่อไทยจะต้องพยายามรักษาเป้าของตนเองไว้ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ จะมีการนับคะแนนเสียงของคะแนน ส.ส.เขตแพ้ แต่คะแนนไม่หายไป แม้จะเกิดพรรคเล็กพรรค หรือแรงกดดันจากพรรคทหาร หรือมีพลังดูดพรรคทหาร ซึ่งจะส่งผลให้คะแนนสัดส่วนพรรคเพื่อไทยลดน้อยลง แต่อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยจะต้องเร่งในการให้ได้คะแนน ส.ส.สัดส่วนให้ได้เกือบร้อยละ 50 เท่าเดิม ครั้งนี้พรรคเพื่อไทยก็จะใช้กลยุทธ์ทุ่มเต็มที่ในพื้นที่ที่ไม่ใช่พื้นที่หลัก เช่น ภาคใต้เกือบ 50 เขตเลือกตั้ง ที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ทุ่มเทจริงจริงจัง เพราะถ้าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญในอดีตทุ่มเทแค่ไหนทุ่มไปก็ไม่ชนะพรรคประชาธิปัตย์ หากพรรคเพื่อไทยได้สัดส่วน ส.ส.ร้อยละ 48 แสดงว่าจำนวน ส.ส.ทั้งสภาจะเกือบ 250 คน นั่นคือเป้าหมายที่พรรคเพื่อไทยต้องทำ” นพ.ระวีกล่าว

นพ.ระวีกล่าวต่อว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยสามารถทำจำนวน ส.ส.สัดส่วนและเขตได้มากกว่า 230 เสียง เมื่อไปรวมกับพรรคเครือข่ายของพรรคเพื่อไทย จะทำให้พรรคเพื่อไทยและเครือข่ายได้ ส.ส.มากกว่า 250 คน โอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอกจะปิดประตูตาย เพราะจะต้องได้รับเสียงโหวตจาก ส.ส. และ ส.ว.รวมกันต้องได้ 500 เสียงขึ้นไปดังนั้นตัวเลข 230 เสียงของพรรคเพื่อไทยจะเป็นตัวชี้ให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์จะต้องเป็นนายกรัฐมนตรีคนในเท่านั้น คาดการณ์ได้เลยว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนในแน่นอนแต่ถ้าพรรคเพื่อไทยและพรรคเครือข่ายรวมกันได้คะแนนมากกว่า 300 เสียง ผลคือโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์จะใช้เสียงของ ส.ว.มาบีบเพื่อที่จะไม่ให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นไปได้ยาก ไม่มีความชอบธรรม ดังนั้นถ้าได้ครบมากกว่า 300 เสียงจะส่งผลให้พรรคที่รอเสียบทั้งหลายมารวมกับพรรคเพื่อไทย โอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯ เป็นไปได้ยาก

เมื่อถามถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่จะตั้งพรรค กปปส.ขึ้นมาลงสนามเลือกตั้งครั้งนี้นั้น นพ.ระวีกล่าวว่า ก็จะเกิดการแย่งคะแนนจากพรรคประชาธิปัตย์ทั้งประเทศ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์อาจจะได้คะแนนเสียงต่ำกว่าร้อย แต่หลังการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นตัวแปรหลักในการจัดตั้งรัฐบาล คือ หากพรรคประชาธิปัตย์เลือกอยู่ข้างพรรคใด พรรคนั้นก็มีโอกาสเป็นรัฐบาล เช่น ไปรวมพรรคทหาร หรือพรรคเครือข่ายทหาร พล.อ.ประยุทธ์ก็จะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ขณะเดียวกัน หากพรรคประชาธิปัตย์เลือกไปอยู่กับพรรคเพื่อไทยและเครือข่าย คาดว่าคะแนนเสียงอาจจะได้เกิน 300 ถึง 350 เสียง แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะมี ส.ว.250 เสียง และ ส.ส.150 เสียง รวมกันเกินครึ่งหนึ่งของสภา แต่ความชอบธรรมสำหรับที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นไปได้ยาก

ดังนั้น ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย โอกาสที่จะได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างสูง ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ พรรคเพื่อไทยจะยินยอมให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีเป้าหมายเพื่อสกัดพรรคทหารก่อน ปล่อยให้ ปชป.เป็นนายกฯ โดยพรรคเพื่อไทยก็จะร่วมรัฐบาลไปก่อน อนาคตเพื่อไทยก็สามารถแก้ปัญหาได้ไม่ยาก ดังนั้นตัวแปรหลักจะมีส่วนสำคัญอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ด้วย


ยืนคนละข้าง “ลุงตู่” เป็นนายกฯ-มาร์ค ต้องเป็นฝ่ายค้าน!?
ยืนคนละข้าง “ลุงตู่” เป็นนายกฯ-มาร์ค ต้องเป็นฝ่ายค้าน!?
นาทีนี้ขอโฟกัสที่พรรคประชาธิปัตย์ก่อน เพราะหลังจากประกาศท่าทีแบบนี้ออกไปตั้งแต่ไกโห่แบบนี้มันก็เหมือนยืนอยู่คนละข้าง และยิ่ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศย้ำอุดมการณ์ “เสรีนิยมประชาธิปไตย” ไม่เอาแนวทางที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเดินอยู่ หรือเส้นทางในวันหน้าที่ต้องเดิน มันก็ทำให้พอทำนายอนาคตรัฐบาลใหม่ได้ล่วงหน้ารางๆแล้วว่า ในรัฐบาลผสมชุดใหม่ไม่น่าจะมีพรรคประชาธิปัตย์ เพราะแม้จะกล่าวกันว่าในทางการเมืองจะพูดอะไรจะอ้างอะไรกันก็ได้ แต่สำหรับยุคใหม่ที่ทุกอย่างเป็นหลักฐาน ขืนเปลี่ยนแปลงก็เสียคน เพราะออกตัวแรงและชัดเจนไปแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น