เมืองไทย 360 องศา
“ตอนนี้ที่หลายคนพูด ที่ใช้คำว่าดูด มันก็คือกลับไปเรื่องเดิมว่า ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่งมีความพยายามรวบรวมนักการเมืองด้วยการเสนอผลประโยชน์ จะเป็นในรูปแบบของเงินทอง ตำแหน่ง เอาอำนาจของรัฐมาใช้ในการต่อรอง เป็นบ่อเกิดของการเมืองที่ไม่สุจริต ไม่เป็นธรรม สุดท้ายก็จะเป็นวิกฤตทางการเมือง เพราะฉะนั้นรัฐบาลมีภาระหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม และ คสช. ในฐานะที่ประกาศตัวเข้ามาว่าจะทำการเมืองให้ดีขึ้นนี้ ไม่ควรที่จะมีพฤติกรรมไปตอกย้ำปัญหา การเมืองที่ล้มเหลวในอดีต”
“เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา ก็เห็นคัดเลือกคน ส่วนใหญ่เหมือนกับพยายามหลีกเลี่ยง เรื่องนักการเมือง ความจริงวันนี้ท่านจะพูดอะไรก็ตาม แต่ในอดีตที่ผ่านมาเกือบ 4 ปี ท่านพูดถึงนักการเมืองอย่างไร ทำไมวันนี้อยู่ดีๆ กลายเป็นว่าต่อไปนี้มีการมานำเสนอตำแหน่งทางการเมืองให้กับนักการเมือง เยอะผิดปกติ ไม่เหมือนกับ 4 ปีที่ผ่านมา จะอธิบายอย่างไร”
“เราค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วว่า แนวทางของเรา ถ้าดูตามสากล อุดมการณ์เรา คือ เสรีนิยมประชาธิปไตย และวันนี้ชัดเจนว่า หลักของเสรีนิยมประชาธิปไตย ซึ่งเริ่มต้นจากการที่ทุกคนต้องมีสิทธิ์ มีเสียง เป็นเจ้าของประเทศ และพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นพรรคการเมืองที่ต้องไปดิ้นรนจับมือกับใคร ถ้าพรรคมีความเห็นว่าจะทำงานกับใครแล้ว ไม่ตรงกับอุดมการณ์ นำพาบ้านเมืองไปผิดทิศผิดทาง พรรคประชาธิปัตย์ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบ ไม่มีปัญหาอะไรเลย”
คำพูดดังกล่าวเป็นของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ย้ำชัดท่าทีชัดเจนว่าเขายืนคนข้างในทางการเมืองกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)รวมไปถึงพรรคของทหารที่กำลังจะตั้งขึ้นใหม่ในอนาคตเพื่อรองรับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบหลังการเลือกตั้ง
แน่นอนว่า คำพูดข้างต้นแม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรง แต่สำหรับคอการเมืองมันก็ชัดยิ่งกว่าชัดว่าความหมายไปทางนั้นไม่มีทางผิดเพี้ยน อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ที่ดาหน้าออกมาถล่มกันเป็นทีม ตั้งแต่ระดับ “นายหัว” ลงมาจนถึงระดับลูกน้อง เอาเป็นว่าหากกล่าวเฉพาะใน “ทีมอภิสิทธิ์” ที่มี ชวน หลีกภัย ประกาศสนับสนุนอยู่ข้างหลังอย่างเต็มที่มันก็คือทีมเดียวกันแบบแยกกันไม่ออก
แม้ว่าสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ยังมีรายละเอียดอีกขั้ว นั่นคือ ขั้ว กปปส. ที่นำโดย “กำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ จะมีทีท่าหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งวัดขุมกำลังกันแล้วจะยังเป็นรอง แต่เมื่อยังไม่เคลื่อนไหวก็ต้องผ่านไปก่อน
สำหรับขั้วประชาธิปัตย์ในสาย ชวน - อภิสิทธิ์ ซึ่งรวมไปถึง บัญญัติ บรรทัดฐาน ก็คงไปในทางเดียวกัน นั่นคือ คนละทางกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อท่าทีชัดเจนแบบนี้มันก็ยังเดายากว่าหนทางข้างหน้าสำหรับรัฐบาลใหม่จะออกมาแบบไหน
เพราะแม้ว่าด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญใหม่จะออกแบบให้เกิดพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กได้มากขึ้น มีพรรคใหม่เกิดขึ้นมากมาย และในจำนวนนั้นก็น่าจะรวมถึงพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะมาในชื่อพรรคประชารัฐ หรือชื่ออื่น ซึ่งกำลังเดินเครื่องดูดอดีต ส.ส. และกลุ่มการเมืองในแบกยกจังหวัด และบรรดาพรรคใหญ่ก็โดนกันทั่วหน้าไม่เว้นแม้แต่พรรคเพื่อไทยที่ว่าแข็งๆ ก็ยังโดนไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีเสียงโวยวายดังลั่นออกมาให้ได้ยินหรอก
อย่างไรก็ดี นาทีนี้ขอโฟกัสที่พรรคประชาธิปัตย์ก่อน เพราะหลังจากประกาศท่าทีแบบนี้ออกไปตั้งแต่ไกโห่ มันก็เหมือนยืนอยู่คนละข้าง และยิ่ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศย้ำอุดมการณ์ “เสรีนิยมประชาธิปไตย” ไม่เอาแนวทางที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเดินอยู่ หรือเส้นทางในวันหน้าที่ต้องเดิน มันก็ทำให้พอทำนายอนาคตรัฐบาลใหม่ได้ล่วงหน้ารางๆ แล้วว่า ในรัฐบาลผสมชุดใหม่ไม่น่าจะมีพรรคประชาธิปัตย์ เพราะแม้จะกล่าวกันว่าในทางการเมืองจะพูดอะไรจะอ้างอะไรกันก็ได้ แต่สำหรับยุคใหม่ที่ทุกอย่างเป็นหลักฐาน ขืนเปลี่ยนแปลงก็เสียคน เพราะออกตัวแรงและชัดเจนไปแล้ว
นี่ยังไม่ได้มองไปที่พรรคเพื่อไทย เพราะแม้ว่าหลายคนยังมองว่าในทางการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการจับมือกันกับพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเหตุผลประชาธิปไตยมาจากประชาชน ซึ่งหลายคนก็เชื่อ แต่ถ้าถามแบบใช้ความรู้สึกล้วนๆ มันก็ยังฟันธงว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะพวกแฟนคลับของทั้งสองฝ่ายที่เชื่อว่ากว่าค่อนพรรคคงรับไม่ได้
ดังนั้น หากสรุปกันแบบนาทีนี้สำหรับพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียวกลุ่มเดียว คือ กลุ่มอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ชัดแล้วว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งในทางการเมืองภาพใหญ่ในทางอำนาจมันย่อมลำบากสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพราะหากต้องการทำงานในสภาราบรื่นก็ต้องใช้เสียง ส.ส. อย่างน้อยต้องได้แรงหนุนจากพรรคใหญ่สักพรรค แต่เมื่อปิดประตูตายแบบนี้มันก็ลำบาก!!
