สมาคมการค้ายาสูบ เผยผลสำรวจ “นิด้าโพล” สอบถามร้านโชวห่วย พบกฎหมายควบคุมยาสูบใหม่ไม่ได้ช่วยลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ แต่กลับสร้างภาระให้แก่ร้านค้า พร้อมระบุการออก พ.ร.บ.ควบคุมยาสูบเป็นเพียงการแก้ที่ปลายเหตุ
นางวราภรณ์ นะมาตร์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมการค้ายาสูบไทย เปิดเผยว่า สมาคมการค้ายาสูบไทยซึ่งมีสมาชิกเป็นร้านค้าปลีกขนาดเล็ก (โชวห่วย) ที่ขายบุหรี่ทั่วประเทศ 1,000 ราย เผยผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เกี่ยวกับผลกระทบจาก “พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ” ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา และในเดือนมีนาคมนี้ก็จะครบกำหนดการบังคับใช้ 6 เดือนแรก โดยผลสำรวจชี้ว่า ร้อยละ 52 เห็นว่ามาตรการใหม่ต่างๆ นั้นไม่สามารถช่วยลดจำนวนผู้สูบได้ โดยเหตุผล 3 อันดับแรก คือ 1. ผู้บริโภคยังมีความต้องการสูบเท่าเดิม 2. คนเปลี่ยนไปสูบยาเส้นหรือบุหรี่นอกแทน เพราะมีราคาถูกกว่า 3. พ.ร.บ.เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ
ทั้งนี้ ร้อยละ 63 ของร้านค้ามองว่าธุรกิจของตนได้รับผลกระทบจาก พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 โดยมาตรการใหม่ๆ ที่ส่งผลกระทบ เช่น ห้ามแบ่งขาย ต้องขายทั้งซอง ห้ามตั้งโชว์หรือแสดงผลิตภัณฑ์ ณ จุดขาย ข้อกำหนดเรื่อง “ซองเรียบ” โดยซองบุหรี่ทุกยี่ห้อต้องใช้สีเดียวกันหมดและห้ามพิมพ์โลโก้ หรือเครื่องหมายการค้าใดๆ
สำหรับปัญหาเรื่องผลกระทบจากกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่นี้ ได้แก่ 1. สร้างภาระเพิ่มขึ้นกับร้านค้าในการบริหารจัดการ 2. กระทบต่อยอดขายผลิตภัณฑ์ยาสูบของร้าน 3. กฎหมายขาดความชัดเจน ทำให้ไม่แน่ใจว่าสิ่งใดทำได้หรือไม่ได้ 4. การเข้าตรวจโดยเจ้าหน้าที่หรือความเสี่ยงจากการถูกเจ้าหน้าที่จับกุม 5. ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบที่อาจมีการบังคับใช้เพิ่มในอนาคต
“ขณะนี้ร้านค้าก็ค่อยๆ ปรับตัวในมาตรการที่ทำได้ ส่วนมาตรการที่ออกมาแล้วทำอะไรไม่ได้มากนัก ก็ต้องรับสภาพกันไปแม้จะไม่ได้ส่งผลในเรื่องประสิทธิภาพลดจำนวนคนสูบ เช่น ห้ามแบ่งขายซึ่งมีผลต่อรายได้ของร้านค้า ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ก็จะครบกำหนด 6 เดือนของการบังคับใช้กฎหมายใหม่ และจะต้องมีการทำกฎหมายลูกออกมาภายใน 12 เดือน ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูบบุหรี่มีกว่า 11 ล้านคน ฉะนั้นมาตรการควบคุมใหม่ๆ รวมทั้งกฎหมายลูกที่จะออกมาจะต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพในการช่วยลดว่าทำได้จริงตามอ้างหรือไม่ นอกจากนี้ควรจะคำนึงถึงผลกระทบกับผู้เกี่ยวข้องและภาระที่จะเพิ่มขึ้นกับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กและสภาพเศรษฐกิจด้วย” นางวราภรณ์กล่าว