“ปานเทพ” ซักค้านพยานตำรวจ คดีถูกฟ้องฐานชุมนุมในรัศมี 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวัง กรณี คปพ.รวมตัวคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม หน้ารัฐสภา ปี 60 ลั่นสู้คดีถึงที่สุดเพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ ไม่ให้เจ้าหน้าที่นำสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือดำเนินคดีต่อประชาชน
วันนี้ (15 ก.พ.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในฐานะตัวแทนเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ในหัวข้อ ขอสู้เพื่อ “บรรทัดฐานที่ถูกต้อง” เกี่ยวกับการไปซักค้านตำรวจ ในคดีการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม บริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อปี 2560 โดยมีรายละเอียดดังนี้
“ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ให้มานะครับ เมื่อวานนี้ 14 กุมภาพันธ์ 2561 หลายคนที่ได้ไปฟังผมซักค้านตำรวจ หรือเคยไปฟังก่อนหน้านี้ คงจะได้ทราบว่าผมซักค้านพยานโจทก์ปากแรกด้วยตนเอง ด้วยความละเอียดทุกแง่มุมเพียงใด
ผลการซักค้านของผมทั้งทีมทนาย จำเลยคนอื่น และประชาชนที่ไปฟัง ตลอดจนผมเองก็มีความพอใจในการซักค้านครั้งนี้มากพอสมควร
คดีนี้พวกผมในนามเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.)ได้ยื่นหนังสือคัดค้าน พ.ร.บ.ปิโตรเลียมบริเวณหน้ารัฐสภา (ฟุตปาทหน้าสวนสัตว์ดุสิต) เมื่อปีที่แล้วและระหว่างรอฟังผลของสภานิติบัญญัติแห่งชาติบริเวณฟุตปาทหน้าสวนสัตว์ดุสิต พวกกระผมถูกตำรวจดำเนินคดีความอาญาว่าอยู่ในรัศมี 150 เมตรจากพระบรมมหาราชวัง อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ 2558
ซึ่งถ้าผมสารภาพก็อาจจะได้รับโทษปรับ เหมือนกับคนอื่นๆ อีกหลายคนซึ่งได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเกลี้ยกล่อมก่อนหน้านี้
แต่พวกผมไม่สารภาพ และเลือกที่จะสู้คดีนี้จนถึงที่สุด !!!
เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของฝ่ายประชาชนทีได้มายื่นหนังสือและรอฟังผลที่หน้ารัฐสภา ด้วยเหตุผลว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของฝ่ายนิติบัญญัติในเรื่องกฎหมายปิโตรเลียมที่มีเดิมพันผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่กลับปรากฏว่าเจ้าหน้าที่รัฐนำประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือมาดำเนินคดีกับประชาชนแทน
ซึ่งถ้าผมไม่สู้คดีนี้ให้เป็นบรรทัดฐาน โดยที่ผมสารภาพไป ทั้งๆ ที่ไม่ได้กระทำความผิด พวกผมก็จะกลายเป็นอีก 1 บรรทัดฐานไปด้วย
ซึ่งถ้าปล่อยไว้ต่อไปก็อาจจะทำให้เกิดผลร้าย 2 ด้านพร้อมกัน คือ ประชาชนที่ห่วงใยชาติบ้านเมืองก็อาจจะเกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือมิเช่นนั้นประชาชนที่ห่วงใยชาติบ้านเมืองและมีความเทิดทูนเคารพรักต่อสถาบันพระมหากษัตริย์กลับถูกสังคมเข้าใจผิดว่าได้กระทำการอันไม่บังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แทน
ซึ่งไม่ว่าจะมองในมุมใดก็อาจจะเกิดความสุ่มเสี่ยงให้ผลร้ายต่อภาคประชาชนหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ทั้งสิ้น
ผลที่ตามมาคือเนื้อหาด้าน พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ของฝ่ายการเมืองซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการคัดค้านของประชาชน ก็จะถูกกลบไปกลายเป็นเรื่องประชาชนกระทำผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่แทน
ซึ่งถ้าปล่อยไว้เช่นนี้ ต่อไปในวันข้างหน้าฝ่ายนิติบัญญัติก็จะสามารถตรากฎหมายที่เลวร้ายอะไรก็ได้ตามอำเภอใจโดยฝ่ายอำนาจรัฐสามารถนำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือกีดกันและทำร้ายประชาชนที่รวมตัวยื่นหนังสือคัดค้านการตรากฎหมายของฝ่ายการเมืองได้เรื่อยไป
การมีส่วนร่วมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญหรือในระบอบประชาธิปไตยก็จะถูกกั้นไว้ด้วยข้ออ้างเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่ประชาชนเคลื่อนไหวเชิงประเด็นเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์เลยแม้แต่น้อย
ถามว่าเราจะปล่อยให้เกิดเหตุการเช่นนี้ต่อไปหรือไม่? เราจะปล่อยให้สถาบันพระมหากษัตริย์ตกอยู่ในความสุ่มเสี่ยงถูกตีความว่าเป็นกันชนให้กับฝ่ายการเมืองภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้หรือไม่?
ผมจึงเห็นว่าเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องป้องกันมิให้รัฐสภา หรือรัฐบาล ใ้ช้ข้ออ้างเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์มาปกป้องตัวเองหรือมาทำร้ายประชาชน
ถ้ารัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติมีความเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในรัศมี 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวัง และถ้ามีความจงรักภักดีจริง ก็ควรรีบปิดรัฐสภาทั้งหมดแล้วไปเช่าพื้นที่อื่นในระหว่างรอรัฐสภาแห่งใหม่ จริงหรือไม่?
นอกจากนั้น ก็ควรรีบย้ายที่ทำการของรัฐสภาและรัฐบาลออกจากพื้นที่สุ่มเสี่ยงที่ทำให้ประชาชนอาจล้ำเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งต้องมาตีความว่าอยู่ในพื้นที่รัศมี 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวังหรือไม่โดยเร็วที่สุด และประชาชนก็ควรร่วมใจสนับสนุนให้เร่งย้ายที่ทำการดังกล่าวให้เร็วที่สุดด้วย จริงหรือไม่?
และอยากเตือนไปยังรัฐบาลว่า ถ้ามีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จริง ก็ไม่ควรตรากฎหมายหรือบังคับใช้กฎหมายเพื่อแอบแฝงนำเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์มาเพื่อปกป้องตนเองและทำร้ายประชาชนที่มีความเห็นต่างจากตัวเอง จริงหรือไม่?
พวกกระผมจึงขอประกาศจะสู้ในคดีนี้อย่างสุดกำลังและสติปัญญา และอาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะพวกกระผมต้องการซักค้านพยานปากอื่นๆ ต่อไป ในระดับเพื่อใช้เป็น “บรรทัดฐานของสังคมและฝ่ายการเมือง” ในวันข้างหน้า
และไม่ว่าผลลัพธ์ของคดีบรรทัดฐานจะเป็นอย่างไร พวกกระผมพร้อมจะน้อมรับจะแจ้งผลให้ทราบเป็นระยะๆ ในโอกาสต่อไป”
ด้าน ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Arthit Ourairat ให้กำลังใจนายปานเทพ โดยระบุว่า “ขอชื่นชมและให้กำลังใจในการต่อสู้ของอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในความถูกต้องที่ทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนด้วยเจตนา และการกระทำในวิถีทางประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์ และต้องเหน็ดเหนื่อยยากลำบากอย่างมากอย่างที่ไม่ควรจะเป็น อันสมควรเป็นแบบอย่างของระบอบการปกครองระบอบสังคมธรรมาธิปไตยที่สงบ สันติสุขอย่างแท้จริง
ขอตำหนิและประณามรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่ไม่ประสีประสากับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ทำการโดยลุแก่อำนาจแบบเถื่อนๆ ไม่เข้าใจเห็นใจในหัวอกหัวใจความเดือดร้อนของประชาชน ไม่มีธรรมาภิบาล บิดเบือนกลั่นแกล้งใส่ร้ายประชาชนโดยนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนเทิดทูนบูชาเป็นสุดยอดแห่งความจงรักภักดีมาเป็นเครื่องมืออ้างทำให้กระทบกระเทือนเกิดความเสียหาย”