xs
xsm
sm
md
lg

คปพ.รับงานหินสู้กลุ่มทุนพลังงาน ฉะสื่อขายวิญญาณเชลียร์ ลั่นไม่ถอย นัดรวมพลังพรุ่งนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (แฟ้มภาพ)
“ปานเทพ” เผยรับต่อสู้กับกลุ่มทุนเพื่อทวงคืนพลังงานของชาติ ยากกว่ารบกับทหารและนักการเมือง ซัดจริยธรรมสื่อฯ รับงานและเขียนเชลียร์อย่างไร้ยางอาย ลั่นเสียสละยอมเจอคดีพร้อมสู้ถึงที่สุด ยันไม่ยอมแพ้ พร้อมนัดรวมพลังหน้าศาลแพ่ง รัชดา 3 เม.ย.

วันนี้ (2 เม.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ตัวแทนเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ถึงการต่อสู้เรื่องพลังงานว่า การต่อสู้ในครั้งนี้ยากยิ่งกว่าการต่อสู้กับนักการเมืองหรือทหารกลุ่มใด เพราะผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงานมากมายขนาดนี้มีคนได้ประโยชน์อย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่สื่อมวลชนจำนวนมากที่พร้อมใจกันแสดงความอัปยศที่สุดในประวัติการณ์ รับงานและเขียนเชลียร์อย่างไร้ยางอายอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ที่รับรู้ได้เพราะตนเองก็ทำงานสื่อมวลชน รับรู้เรื่องราวของคนในวงการเป็นอย่างดีว่าเป็นอย่างไร และแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันอย่างไร

“เข้าใจครับว่าการทำธุรกิจสื่อในยุคนี้ยากลำบากมาก แต่ผมแค่สงสัยว่าจิตวิญญาณของคนที่มีสำนึกในวิชาชีพสื่อมวลชนในองค์กรนั้นๆ ทนได้อย่างไรที่ปล่อยให้คนองค์กรตัวเอง ไม่ได้เพียงขายพื้นที่หรือเวลาเพื่อแลกกับโฆษณา แต่กลับขายจิตวิญญาณและอุดมการณ์ความเป็นสื่อมวลชน จนถึงขั้นยอมทำลายอนาคตของชาติเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน” นายปานเทพกล่าวและว่า ตนตระหนักดีว่าการต่อสู้เรื่องผลประโยชน์ต่อประเทศชาติจำเป็นที่ต้องมีผู้เสียสละ และการต่อสู้คดีนั้นก็ไม่พ้นการถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาจากผู้มีอำนาจที่เกรงใจกลุ่มทุนพลังงานมากกว่าเกรงใจประชาชน และที่หนักไปกว่านั้นคือ พร้อมคืนความสุขให้กลุ่มทุนพลังงานผูกขาดมากกว่าที่จะคืนความสุขให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ

สำหรับการรับผลทางคดีทั้งความแพ่งและอาญานั้น ที่ปรึกษากฎหมายและทีมทนายทั้งหมดของพวกตนเห็นควรให้ตนและคณะไม่ต้องรับสารภาพ และต่อสู้คดีถึงที่สุด เพราะเห็นว่ามีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นกับผู้ที่ต่อสู้เพื่อประโยชน์ของชาติที่เดิมพันสูงสุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยโดยไม่ได้ประโยชน์อันใดส่วนตัว อย่างน้อยในระหว่างรอผลแห่งคดี ตนก็จะยังมีเวลาใช้สิทธิในการรักษาผลประโยชน์ของชาติต่อไปได้

“พวกผมยังไม่ยอมแพ้ครับ และจะเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าผลเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็ไม่เสียชาติเกิดขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ไปร่วมกิจกรรมกับผมและเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) และขอบคุณกำลังใจทุกท่านที่มอบให้มา ณ โอกาสนี้ครับ แล้วพบกันวันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560 ที่ศาลแพ่งเวลา 09.00 น.” นายปานเทพกล่าว

รายละเอียดข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์”

พบกันวันจันทร์ที่ 3 เมษาฯ ที่ศาลแพ่ง!

ในการต่อสู้คดีความ ผมไม่เคยหลบหนี ตามที่มีการปล่อยข่าว และผมมีความเคารพในกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด

การต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของชาติครั้งนี้มีเดิมพันถึงอนาคตของชาติในเรื่องปิโตรเลียม เฉพาะบงกชและเอราวัณ ซึ่งกำลังจะหมดอายุสัมปทานและมีทรัพย์สินกำลังจะถูกโอนกลับมาเป็นของชาติ และสามารถสร้างได้จากปิโตรเลียมมูลค่า 2 แสนล้านบาทต่อปี หรือ 10 ปีมีมูลค่าถึง 2 ล้านล้านบาท ที่จะต้องดูต่อไปว่าผลประโยชน์อันมหาศาลนี้จะตกอยู่กับเอกชนรายเดิมในรูปแบบให้เอกชนบริหารและขายปิโตรเลียมแทนรัฐเหมือนระบบสัมปทานเดิม หรือจะเป็นของบรรษัทน้ำมันแห่งชาติที่เป็นของคนไทยทั้ง 70 ล้านคน?

ส่วนผลจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาสำคัญนี้เท่านั้น พ้นจากนี้เราต้องรอหมดอายุสัญญาไปอีก 40 ปีข้างหน้า

ถ้าเราแพ้เราก็จะสูญเสียอธิปไตยพลังงานจนเราสิ้นสุดลมหายใจของคนรุ่นเราและส่งต่อมรดกบาปนี้ไปให้รุ่นลูกรุ่นหลาน

แต่ถ้าเราชนะได้ ประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชนทั้ง 70 ล้านคน ไม่ว่าสีเสื้อใด เพราะเพียงแค่การแก้ปัญหาเรื่องพลังงานเพียงเรื่องเดียวนั้น สามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชาชน อันจะสร้างความปรองดองของคนในชาติที่แท้จริง

การต่อสู้ในครั้งนี้ยากยิ่งกว่าการต่อสู้กับนักการเมืองหรือทหารกลุ่มใด เพราะผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงานมากมายขนาดนี้มีคนได้ประโยชน์อย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่สื่อมวลชนจำนวนมากที่พร้อมใจกันแสดงความอัปยศที่สุดในประวัติการณ์ รับงานและเขียนเชลียร์อย่างไร้ยางอาย อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ที่ผมรับรู้ได้เพราะผมเองก็ทำงานสื่อมวลชนรับรู้เรื่องราวของคนในวงการเป็นอย่างดีว่าเป็นอย่างไร และแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันอย่างไร

เข้าใจครับว่าการทำธุรกิจสื่อในยุคนี้ยากลำบากมาก แต่ผมแค่สงสัยว่าจิตวิญญาณของคนที่มีสำนึกในวิชาชีพสื่อมวลชนในองค์กรนั้นๆ ทนได้อย่างไรที่ปล่อยให้คนองค์กรตัวเอง ไม่ได้เพียงขายพื้นที่หรือเวลาเพื่อแลกกับโฆษณา แต่กลับขายจิตวิญญาณและอุดมการณ์ความเป็นสื่อมวลชน จนถึงขั้นยอมทำลายอนาคตของชาติเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน?

ผมตระหนักดีว่าการต่อสู้เรื่องผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ จำเป็นที่ต้องมีผู้เสียสละ และการต่อสู้คดีนั้นก็ไม่พ้นการถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาจากผู้มีอำนาจที่เกรงใจกลุ่มทุนพลังงานมากกว่าเกรงใจประชาชน

และที่หนักไปกว่านั้นคือ พร้อมคืนความสุขให้กลุ่มทุนพลังงานผูกขาดมากกว่าที่จะคืนความสุขให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ

สำหรับการรับผลทางคดีทั้งความแพ่งและอาญานั้น ที่ปรึกษากฎหมายและทีมทนายทั้งหมดของพวกผมเห็นควรให้ผมและคณะไม่ต้องรับสารภาพ และต่อสู้คดีถึงที่สุด เพราะเห็นว่ามีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นกับผู้ที่ต่อสู้เพื่อประโยชน์ของชาติที่เดิมพันสูงสุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยโดยไม่ได้ประโยชน์อันใดส่วนตัว อย่างน้อยในระหว่างรอผลแห่งคดี ผมก็จะยังมีเวลาใช้สิทธิในการรักษาผลประโยชน์ของชาติต่อไปได้

และผมไม่อยากให้ทุกท่านตำหนิพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีคำสั่งดำเนินคดีกับพวกผมจนถึงที่สุด เพราะมันมีความจำเป็นที่เขาต้องทำเพื่อรักษาบรรทัดฐาน ไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติกับคนทุกกลุ่มในอนาคต และผมพร้อมเสมอที่จะยอมรับทุกสถานการณ์ เพราะได้ใคร่ครวญแล้วคิดว่า การเสียสละเพื่อรับผลของความเสี่ยงคดีความนั้นเป็นเรื่องเล็กมากเมื่อเทียบกับการแลกด้วยเดิมพันอนาคตของชาติที่มากที่สุดในการเปลี่ยนประเทศไทยครั้งสำคัญ ครั้งนี้

ดังนั้นพี่น้องประชาชนจึงอย่าให้การเสียสละของคนกลุ่มเล็กๆอย่างพวกผมสูญเปล่า เพราะอนาคตของชาติครั้งนี้ลำพังพวกผมคงไม่พอที่จะเปลี่ยนแปลงผลประโยชน์มหาศาลนี้ได้ แต่ต้องอาศัยพี่น้องประชาชนทุกคนที่ต้องช่วยกัน ไม่ว่าอาชีพใด และสีเสื้อใด และที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อปลุกจิตสำนึกของผู้บริหารประเทศให้มายืนเคียงข้างผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง

พวกผมยังไม่ยอมแพ้ครับ และจะเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าผลเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็ไม่เสียชาติเกิด

ขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ไปร่วมกิจกรรมกับผมและเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.)และขอบคุณกำลังใจทุกท่านที่มอบให้มา ณ โอกาสนี้ครับ

แล้วพบกันวันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560 ที่ศาลแพ่ง ถนน รัชดาภิเษก เวลา 9.00 น.

ด้วยจิตคารวะ
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
2 เมษายน 2560


กำลังโหลดความคิดเห็น