“มาร์ค” สวน” บิ๊กตู่” ยันปมนาฬิกาหรูไม่ใช่เรื่องวาทกรรมแต่เป็นเรื่องพฤติกรรม แนะเคลียร์ “เสี่ยป้อม” ให้ชัดเพื่อสร้างมาตรฐานการเมือง พิสูจน์มุ่งปฏิรูปจริง และสร้างธรรมาภิบาล ห่วงหากยืดเยื้อ ทำรัฐบาลเสื่อมศรัทธา ป.ป.ช.ทำงานลำบาก กระทบความเชื่อมั่นองค์กรอิสระทั้งระบบ
วันนี้ (17 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า พร้อมออกจากตำแหน่งหาก ป.ป.ช.ชี้ว่ามีความผิด กรณีแหวนเพชรและนาฬิกาหรู ว่าตนได้เสนอแนะไปด้วยความเป็นห่วงต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล จึงอยากให้ชี้แจงต่อสาธารณะให้ชัดเจน เพราะถ้าสังคมสงสัย ไม่เชื่อแล้วปล่อยให้ยืดเยื้อจะกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล ทำให้ขาดความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากประชาชน ส่วน ป.ป.ช.เมื่อชี้แล้วก็จะมีผลทางกฎหมายตามอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่ตอนนี้สังคมเกิดความไม่เชื่อมั่นในตัว ป.ป.ช.ด้วยจึงอยากเห็นการชี้แจงอย่างชัดเจนว่าข้อเท็จจริงคืออะไร หากยืนยันว่ายืมเพื่อนมาใส่ก็ชี้แจงรายละเอียดว่ามีกี่เรือน ยืมจากใคร สังคมจะได้จบเรื่องนี้ไป แต่ถ้ายังชี้แจงเพียงเท่านี้การวิพากษ์วิจารณ์ก็จะยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล
“ผมคิดว่านายกรัฐมนตรีอย่างน้อยที่สุดต้องคุยกับ พล.อ.ประวิตรว่าจะทำอย่างไร ไม่ให้เรื่องนี้กระทบความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และแปลกใจอยู่ว่าท่านนายกฯ ใช้คำพูดว่าอย่าเอาวาทกรรมทางการเมืองมาพูด ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องวาทกรรม แต่เป็นเรื่องพฤติกรรม ผมพยายามชี้ให้เห็นว่าในฐานะนักการเมืองถูกรัฐบาลชุดนี้ต่อว่าต่อขานว่าการเมืองเก่าๆ เป็นอย่างนั้นอย่างนึ้ จึงชี้ให้เห็นว่ามาตรฐานในรัฐบาลผมที่เป็นนักการเมืองเก่า มีความชัดเจนและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มีปัญหาที่สังคมสงสัย รัฐมนตรีก็ลาออกทั้งๆ ที่ ป.ป.ช.ยังไม่ได้ชี้ว่ามีความผิด และสุดท้ายก็ไม่ได้มีความผิดด้วย ดังนั้นหากนายกยังอยากใช้คำว่าธรรมาภิบาลอยู่ ก็ควรสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อยด้วยการสร้างมาตรฐานทางการเมือง อย่างน้อยที่สุดก็คือมาตรฐานการชี้แจงให้เกิดความโปร่งใสต่อสังคม” นายอภิสิทธิ์กล่าว
อดีตนายกรัฐมนตรียังระบุด้วยว่า เข้าใจถึงความสำคัญของ พล.อ.ประวิตร ที่มีต่อรัฐบาลรวมถึงความผูกพันที่มีต่อกัน แต่สิ่งที่ขอคือทำอย่างไรให้เกิดความโปร่งใสกับสังคม ถ้ามีข้อเท็จจริงที่มั่นใจว่าถูกต้องก็ชี้แจงให้สังคมเข้าใจและมั่นใจด้วย แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ สภาพของรัฐบาลและการทำงานก็จะได้รับผลกระทบ ตนเป็นห่วงไปถึงการแก้ปัญหา และบรรทัดฐานของสังคมด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่า คสช.เข้ามาบอกว่าจะทำให้การเมืองดีขึ้น หากมีปัญหาความเสื่อมศรัทธาขององค์กรอิสระและ ป.ป.ช.ตามมาอีกจะยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ เพราะมีทั้งเรื่องร่างกฎหมาย ป.ป.ช.ที่มีเนื้อหายกเว้นลักษณะต้องห้ามและต่ออายุ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ซึ่งกำลังจะมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วย สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาพัวพันทั้งเรื่องกฎหมายและสายสัมพันธ์ที่ถูกมองว่าใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจทำให้ ป.ป.ช.ทำงานยากขึ้น และถูกจับจ้อง ผลวินิจฉัยที่ออกมาก็จะมีคนจำนวนหนึ่งไม่เชื่อมั่น ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นการวางรากฐานการเมืองในอนาคตด้วย ถ้ารัฐบาลอยากมาปฏิรูปก็ต้องจริงจังกับการสร้างมาตรฐานทางการเมืองที่ถูกต้อง
“ปัญหาขณะนี้มันพัวพันไปหมดทั้งเรื่องกฎหมาย ป.ป.ช.ที่มีปัญหา ซึ่งจะพันไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ถูกมองว่าได้ประโยชน์จากการออกกฎหมายของ สนช.ด้วย จะเป็นปัญหากันทั้งระบบ เรากำลังพยายามไม่ให้การเมืองย้อนไปแบบเดิมๆ ที่เคยเกิดในอดีต ก็อย่าทำอีกและควรวางบรรทัดฐานใหม่ๆ ขึ้นมา” นายอภิสิทธิ์กล่าว