หัวหน้าประชาธิปัตย์ สั่งทีมกฎหมายดูคำสั่ง คสช.เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ชี้มีเนื้อหาขัดกันในตัว ไม่ชัดเจนหลายเรื่อง ถ้าเข้าเงื่อนไขก็ส่งศาล รธน.วินิจฉัย ยันพรรคไม่มีปัญหา ซัดเพิ่มล็อกมากกว่า จวกไม่เข้าใจโรดแมปตัวเอง เหมือนแก้ให้กับบางคน ลั่นถ้าไม่ถูกต้องต้องคัดค้าน ระบุ ส.ส.ย้ายพรรคไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่อาจจะช่วยคนที่ไม่กล้าสู้หน้าที่จะมาลาออกเท่านั้น เตือนใช้อำนาจรัฐจนเลือกตั้งไม่เที่ยงธรรม ชาติจะเสียหาย ขออย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
วันนี้ (27 ธ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคพิจารณาข้อกฎหมายว่าคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ว่ามีเนื้อหาใดที่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งจะทราบผลหลังปีใหม่ว่าจะมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ ทั้งนี้ การจะยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญต้องมีเหตุผลข้อเท็จจริงที่เข้าข่ายยื่นได้ ซึ่งเท่าที่เห็นคำสั่ง คสช.แล้วเป็นคำสั่งที่ยาวเป็นพิเศษและเนื้อหาก็ขัดกันในตัว มีความไม่ชัดเจนในหลายเรื่อง ฝ่ายกฎหมายกำลังดูในรายละเอียดถึงผลที่เกิดขึ้น ถ้าเข้าเงื่อนไขที่ขัดรัฐธรรมนูญก็มีความเป็นไปได้ที่จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ โดยต้องดูว่ากระทบสิทธิของบุคคลหรือไม่ อย่างไร เจ้าตัวคนที่ได้รับผลกระทบต้องเป็นผู้ยื่น การจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ไม่ใช่ความต้องการส่วนตัว ยื่นไปก็ต้องมีน้ำหนักพอที่จะยื่นได้ ไม่ยื่นพร่ำเพรื่อหรือยื่นไปอย่างนั้นเพื่อให้มีคดีแน่นอน และเมื่อมีเหตุยื่นได้ก็อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร โดยจะดูข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ถ้าไม่มีเหตุยื่นก็ไม่ยื่นแน่นอน แต่ถ้ายื่นต้องมีน้ำหนักให้ศาลพิจารณาได้
นายอภิสิทธิ์ยังยืนยันด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหาที่จะดำเนินการตามกฎหมาย กติกาเขียนอย่างไรก็พยายามปฏิบัติ และยังไม่เห็นอุปสรรค มีแต่พรรคตั้งใหม่บ่น เพราะกระทบจากการที่ คสช.ไม่ปลดล็อก อย่างไรก็ตาม การออกคำสั่ง คสช.ครั้งนี้ไม่ใช่ปลดล็อกแต่เป็นการเพิ่มล็อก ทำให้ช้าไปอีก 3 เดือนจนเป็นปัญหากับพรรคใหม่ ขอยืนยันว่าพวกตนไม่ติดใจที่จะมีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้น เพราะเป็นประชาธิปไตยยอมรับการแข่งขันตลอดเวลา แต่ขอให้แข่งขันด้วยการสร้างศรัทธาไม่ใช่เอาเครื่องมือต่างๆ มาทำลายคนอื่น คำสั่ง คสช.ที่ออกมาเหมือนไม่เข้าใจโรดแมปของตัวเอง ทั้งๆ ที่ประธาน กรธ.ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำห้าสายรู้ว่าต้องออกกฎหมาย 4 ฉบับจากนั้นเหลือเวลา 150 วัน ต้องจัดการเลือกตั้งจึงรีบผลักดันให้กฎหมาย กกต.และพรรคการเมืองบังคับใช้ก่อน เพื่อให้มีเวลาปรับตัวให้ทุกคนเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งได้ เป็นสิ่งที่คิดอย่างดีและรอบคอบแล้ว แต่คำสั่งนี้เหมือนไม่เข้าใจตัวเอง เท่ากับต้องทำหลายอย่างซ้อนกัน จึงเป็นการแก้ปัญหาให้กับบางคนถูกจุดมากกว่ามากกว่าการแก้ปัญหาอย่างถูกจุด
“ถ้าคิดใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ในทางการเมือง ก็เดินกลับสู่ยุคระบอบทักษิณ จะหวังอะไรกับการปฏิรูปและธรรมาภิบาล ถ้ามีปัญหาพรรคใหม่ก็หาทางแก้ไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ใช้อำนาจรัฐที่เบ็ดเสร็จพิเศษไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลได้ บ้านเมืองเสียหาย ส่วนรวมเสียหาย บรรทัดฐานสำหรับอนาคตก็เสียหาย คนทำต้องรับผิดชอบ หากยึดหลักธรรมาภิบาลต้องโปร่งใสตรงไปตรงมา รับผิดชอบ มีประสิทธิภาพ ลองไปดูว่าสิ่งที่รัฐบาลทำเข้าเกณฑ์เหล่านี้หรือไม่ การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ ควรทำในเรื่องใหญ่ๆ ทำแล้วไม่ต้องเปลี่ยนซ้ำแล้วซ้ำอีกและไม่เอื้อประโยชน์ใคร เรื่องได้เปรียบเสียเปรียบพรรคประชาธิปัตย์ไม่กังวล เพราะสู้ในสถานการณ์เสียเปรียบมาหลายรูปแบบ จึงไม่โวยวายหรือร้องขอ แต่ที่พูดต้องการรักษาหลักการบ้านเมือง ถ้าเสียเปรียบจากหลักการที่ถูกต้องพรรคยินดี แต่ถ้าไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรมาภิบาลก็ต้องคัดค้านไม่ว่าจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวยังกล่าวถึงกรณีที่นายปริญญา เทวานฤมิตกุล รองอธิการบดีมาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์คำสั่งดังกล่าวมีผลทำให้ ส.ส.ย้ายพรรคได้โดยไม่ต้องลาออกจากพรรคเดิมเพียงแค่ไม่ยืนยันการเป็นสมาชิก เสมือนเป็นการเซตซีโร่ ส.ส.ว่า คงสะดวกขึ้นแต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะไม่ว่าจะเป็นใครอยากอยู่พรรคใหม่ไปลาออกก็ไม่มีใครห้ามได้อยู่แล้ว แต่กรณีนี้อาจจะช่วยคนที่ไม่กล้าสู้หน้าที่จะมาลาออกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากมีการใช้อำนาจรัฐจนทำให้การเลือกตั้งไม่เที่ยงธรรม ประเทศชาติจะเสียหาย ติดหล่มกับประชาธิปไตยที่เดินหน้าไม่ได้ ที่ผ่านมาเราคาดหวังมาตลอดว่าภายใต้การปฏิรูปประเทศเราจะได้ระบบการเมืองที่ดี สภาและรัฐบาลที่ดี ถ้าไม่สามารถนับหนึ่งจากการเลือกตั้งที่เที่ยงธรรมได้ก็ไม่ถึงเป้าหมาย จึงขอว่าอย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ประโยชน์ส่วนพวก ขอให้คิดถึงระยะยาว เพราะที่ประเทศมีปัญหามาตลอดเพราะไม่คิดถึงหลักการและธรรมาภิบาล