เมืองไทย 360 องศา
แม้จะมีคำยืนยันจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ว่า ไม่รู้เรื่องและไม่เกี่ยวข้องกับ “พรรคทหาร” หรือพรรคการเมืองที่จะตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนทหาร รวมไปถึงการประสานเสียงปฏิเสธของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯที่มีข่าวว่าจะมาเป็นหัวหน้าพรรคดังกล่าว โดยอ้างถึงเรื่องอายุมากและสุขภาพไม่ดีก็ตาม หรือก่อนหน้านี้ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ปฏิเสธตัดบทว่าไม่มีเช่นเดียวกัน ทำให้หลายคนเข้าใจว่าเรื่องดังกล่าวอาจต้องพักเอาไว้ชั่วคราว หลังจากที่ฝ่ายนักการเมืองโดยเฉพาะจากพรรคประชาธิปัตย์ออกมาเปิดโปงแผนดังกล่าว
แต่กลายเป็นว่าน่าจะเป็นการตรงกันข้ามในแบบที่เรียกว่าเดินหน้า “แบบเนียนๆ” ไปต่อ หลังจากที่มีการยืนยันแล้วว่า จะมีการใช้มาตรา 44 “ปลดล็อก” พรรคการเมือง แต่อย่าเพิ่งดีใจไปเพราะเป็นการปลดล็อกแบบมีเงื่อนไขและเป็น “ขยัก” นั่นคือ จากคำแถลงของ “โฆษกไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ขยายความตามหลังมาว่าจะอนุญาตให้เฉพาะ “พรรคใหม่” ที่จะจดทะเบียนหาชื่อพรรคใหม่ หาสมาชิกใหม่ เก็บค่าบำรุงพรรค รวมไปถึงการประชุมพวกบรรดา “นอมินี” วางแผนตั้งพรรคกันได้ตามสะดวก แต่ยกเว้นพวกพรรคการเมืองเก่าที่ทำได้แค่ตรวจสอบรายชื่อสมาชิกว่ายังเหลืออยู่เท่าไหร่เท่านั้น และที่สำคัญ ก็ต้อง “ขออนุญาต” ก่อนนะจ๊ะพี่น้อง
นี่แหละถึงได้มองว่า “สองมาตรฐาน” ไงละ เพราะดูเผินๆ เหมือนกับการ “ปลดล็อก” แต่มองให้ละเอียดแล้วมันคนละเรื่อง เพราะเป็นการเปิดทางเฉพาะพรรคใหม่ หรือให้ชัดเข้ามาอีก ก็คือ อาจมี “พรรคทหาร” และพรรคนอมินีของทหารอยู่ในนั้นด้วย ขณะที่พรรคเก่าโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคเพื่อไทย
ก็ต้องซอยเท้าอยู่กับที่ต่อไป แม้ว่าจะกำหนดดีเดย์ออกมาว่าจะปลดล็อกให้ก่อนเส้นตายวันที่ 5 มกราคมก็ตามมันก็ไม่มีความหมายเท่าใดนัก
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่จะมีเสียงโวยวายออกมาจากฝ่ายพรรคการเมืองออกมา ว่า นี่คือ รายการ “สองมาตรฐาน” และมีเสียงประชดประชันตามมาว่า “เอาที่สบายใจละกัน” อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายปีไปจนถึงต้นปีใหม่ มันเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง ทำให้กลบบรรยากาศทางการเมืองลงได้สนิท อย่างน้อยก็น่าจะต้องผ่านพ้นช่วงเทศกาลปีใหม่ไปแล้ว
เมื่อพิจารณาจากการปลดล็อกแบบสองมาตรฐานดังกล่าวมันก็ทำให้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่านี่คือรายการเปิดช่องให้พรรคทหารเกิดขึ้น ส่วนจะเป็นใครเป็นผู้จัดตั้งมันคงไม่สำคัญเพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดหัว เพราะกว่าจะถึงวันเลือกตั้งหรือรอให้กฎหมายการเลือกตั้งผ่านสภาก็ต้องรออีกพักใหญ่ ขณะเดียวกัน หากเดินมาตามสูตรนี้มันก็เท่ากับว่า “บอนไซ” พรรคการเมืองใหญ่ อย่างน้อยก็พรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้มีพลังต่อรองกับ “ว่าที่นายกฯ” ได้เลย
หากพิจารณากันจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ถือว่าเป็นข้อจำกัดสำหรับพรรคการเมืองที่ไม่ว่าจะมองในมุมไหนด้วยระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ ระบบการนับคะแนนแบบใหม่เชื่อว่าไม่มีทางที่จะมีพรรคการเมืองใหนจะได้เสียงข้างมากแบบที่ถล่มทลายแน่นอน ดังนั้น ความหมายก็คือเป็นการออกแบบเอาไว้เพื่อรองรับ “รัฐบาลผสม” ที่พรรคการเมืองจะไม่มีพรรคการเมืองที่มีเสียงเด็ดขาด
มองอีกมุมหนึ่งก็เหมือนกับการออกแบบมาเพื่อรองรับ “นายกฯคนนอก” ที่มีพลังอำนาจลอยมาแต่ไกลแล้ว แม้ว่านาทีนี้ยังไม่ได้ประกาศตัวออกมาให้ชัดเจนว่าเป็นใคร แต่สำหรับคอการเมืองก็รู้กันอยู่แล้วต้องเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น
ดังนั้น แม้ว่าการปลดล็อกพรรคการเมืองที่จะออกมาอีกไม่นานนั้นอ้างว่าเป็นการเปิดทางให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมได้ แต่ก็ถือว่าเป็นการ “หมกเม็ด” อำพรางเอาไว้ โดยยังเป็นการปิดกั้นกับพรรคเก่า โดยเฉพาะเป้าหมายน่าจะเป็นพรรคใหญ่ทั้งสองพรรคคือประชาธิปัตย์และเพื่อไทยเป็นหลักนั่นแหละ !!