เมืองไทย 360 องศา
มีเรื่องราวให้ถูกถล่มตำหนิติเตียนกันเป็นรายวันไปแล้วสำหรับ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ล่าสุด ก็มีการหยิบเอาเรื่อง “ปกปิดทรัพย์สิน” มาขยายผลจากการที่ปรากฏจากการถ่ายภาพหมู่คณะรัฐมนตรีที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีการโฟกัสไปที่ “แหวนเพชร” และ “นาฬิกาหรู” ในแบบที่เรียกว่าคาดไม่ถึง
แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวกลายเป็นประเด็นที่ชวนติดตามไม่น้อยว่าจะจบลงอย่างไร จะค่อยๆ หายเงียบไปตามสายลมอีกหรือไม่ เพราะจากภาพถ่ายที่ว่ามีการระบุว่า ทั้ง นาฬิกา และแหวนเพชรบนข้อมือและนิ้วอันอวบอูมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีราคาและต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งก่อนและหลังจากพ้นตำแหน่งไปแล้ว 1 ปีตามกฎหมาย ซึ่งก็ต้องว่ากันไป เพราะเรื่องแบบนี้มีคนคอยติดตามแบบชนิดที่เรียกว่า “จับผิด” กันทุกเม็ดอยู่แล้ว และทาง ป.ป.ช.ก็ยังขึงขังบอกว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้กันแล้ว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าพิจารณากันนอกเหนือไปกว่านั้นก็คือ นับจากนี้ไป “พี่ใหญ่” คนนี้ได้กลายเป็น “จุดอ่อน” ของรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติแบบเต็มขั้นแล้ว กลายเป็นว่า “ทำอะไรก็ผิด” แบบขยับตัวไปไหนก็ลำบาก
แต่ขณะเดียวกัน เขาก็จะอยู่ใน “สถานะที่พิลึก” นั่นคือ แม้ว่าจะกลายเป็นจุดอ่อน หรือหากกล่าวกันแบบแรงๆ อีกความหมายหนึ่งก็คือ “ตัวถ่วง” แต่เชื่อหรือไม่ว่าสถานะของเขาก็ยังคงหนักแน่นมั่นคงไม่เคยเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยก็มั่นคงไปจนจบรัฐบาลชุดนี้
เมื่อพิจารณาจากวัฒนธรรมแบบทหารในลักษณะเพื่อนพ้องน้องพี่ และ “นาย” กับ “ลูกน้อง” พ่วงเข้าไปอีกก็จะยิ่งเห็นคำตอบว่าทำไม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงมีสถานะอันมั่นคงในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นอกจากนี้ ในทางการเมืองแล้ว “จุดอ่อน” ดังกล่าวของ พล.อ.ประวิตร กลับไปสร้าง “จุดแข็ง” ให้กับอีกคนหนึ่งขึ้นมาในเวลาเดียวกัน นั่นคือได้สร้างความเข้มแข็ง สร้าง “จุดเด่น” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบบที่คาดไม่ถึง
หากพิจารณาจากเส้นทางในอดีตทางทหารก็ย่อมรู้ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาก่อน และเคยสนับสนุนอุ้มชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในความหมายของกลุ่มที่เรียกว่า “บูรพาพยัคฆ์” ที่เข้าใจกันดี ด้วยความสัมพันธ์กันแบบ “พิเศษ” ดังกล่าวนี่แหละที่เรียกว่า “ตัดไม่ตายขายกันไม่ขาด” และที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เคยออกมาการันตีหลายครั้งแล้วถึงขั้นที่กล่าวว่า “อยู่กันไปทั้งชาติ”
อย่างไรก็ดี ด้วยบุคลิกของ “พี่ใหญ่” ที่เป็นคนกว้างขวาง มีเครือข่ายพี่น้องมากมายแบบนี้ อีกด้านหนึ่งมันก็เกิด “ภาพลบ” ติดตัวได้ไม่ยาก ซึ่งภาพลบดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมาที่สังคมตั้งข้อสังเกต มีเสียงวิจารณ์ในทางลบส่วนใหญ่ล้วนมาจากเครือข่ายคนใกล้ชิดแทบทั้งสิ้น จนกลายเป็นภาพ “สีเทา” ทุกเรื่องน่าสงสัยไปเสียทั้งหมด
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งในด้านลบก็ย่อมมีอีกด้านหนึ่งที่เชื่อมโยงถึงกันแบบพึงพาอาศัยกัน เพราะในเมื่อด้านหนึ่งเป็นภาพลบ หรือ “สีเทา” อีกด้านหนึ่งก็มีความ “โดดเด่น” ขึ้นมาเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมไปถึง “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ระยะหลังโผล่ขึ้นมาให้เกิดความรู้สึกแบบเดียวกัน และเมื่อมาเปรียบเทียบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ทำให้ฝ่ายหลังมีความโดนเด่นมั่นคงขึ้นมาทันที เพราะในภาพลบ เสียงวิจารณ์ก็จะมุ่งไปทางนั้น
ในทางการเมืองก็มีความหมายในแบบที่ว่าเสียงโจมตี เสียงวิจารณ์จะพุ่งเป้าไปที่ “พี่ใหญ่” กับ “พี่รอง” เป็นหลัก เหมือนกับการผ่อนแรงกระแทกให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะเดียวกัน ด้วยบุคลิกส่วนตัวที่สามารถจับจุดความรู้สึกของคนไทยได้ดี รู้จักผ่อน รู้จักตึง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังสามารถประคองกระแสความนิยมมาได้อย่างน่าพอใจ แม้ว่าด้วยระยะเวลาผ่านมากว่าสามปี และด้วยสถานะของเผด็จการทหาร แต่ก็สามารถปรับตัวยืดหยุ่นตามสถานการณ์ยื้อภาวะ “ขาลง” ให้ได้นาน
ดังนั้น หากพิจารณาโฟกัสไปเฉพาะ “พี่ใหญ่” คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ น้องเล็กแห่ง “บูรพาพยัคฆ์” อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับ “คู่หู” ที่ทิ้งกันไม่ได้ เพราะฝ่ายแรกถือว่ามีความกว้างขวางในกองทัพที่เติบใหญ่สร้างเครือข่ายมาอย่างต่อเนื่องช่วยค้ำจุน ขณะเดียวกัน ด้วยภาพลักษณ์ความเป็น “สีเทา” กลับทำให้อีกฝ่ายมีความโดดเด่น มีบุคลิกที่สร้างความประทับใจให้แก่มวลชนได้ดียิ่งขึ้น เกิดภาพเปรียบเทียบให้เห็นชัดที่สำคัญยังเบี่ยงเบนแรงกระแทกให้ออกห่างตัวได้ดีอีกด้วย และแม้ว่าเป็นภาพที่ตัดกันแต่ก็แยกกันไม่ออก ตัดกันไม่ขาด!