สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายลูกศาลรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ตัดปมมาตรการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยป้องกันความเสียหาย และ ให้ ส.ส. มีส่วนตรวจสอบคำบังคับให้เป็นไปตามคำวินิจฉัย แต่ยังคงให้ 5 ตุลาการที่ต่ออายุตามคำสั่ง คสช. อยู่ต่อ ก่อนส่ง ศาล รธน. กรธ. พิจารณาต่อ
วันนี้ (23 พ.ย.) ที่รัฐสภา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ...ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาแล้วเสร็จ โดยมีสาระสำคัญ ในมาตรา 69/1 ว่าด้วยการกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีมาตรการหรือวิธีการใดๆ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยและออกคำสั่งไปยังหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันความเสียหายร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นยากแก่การแก้ไขเยียวยาวภายหลัง หรือ เพื่อป้องกันความรุนแรงอันใกล้จะถึง ซึ่ง กมธ. เสียงข้างน้อย และ สมาชิก สนช. ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องเป็นกลาง หากออกมาตรการชั่วคราวและเกิดความเสียหาย หรือขัดแย้งผลคำวินิจฉัยที่จะออกมาภายหลังจะกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ อีกทั้งปัจจุบันมีหน่วยงานเข้ามาดำเนินการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างร้ายแรง เช่น ตำรวจ และรวมถึงมีกฎหมายที่จะเข้ามาควบคุม เช่น พ.ร.บ. ชุมนุมในที่สาธารณะ แล้ว
ด้าน นายบรรเจิด สิงคะเนติ กมธ. ชี้แจงว่า เนื้อหาที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจออกมาตรการชั่วคราวถือเป็นกลไกปกติในประเทศที่มีศาลรัฐธรรมนูญ เช่น เยอรมนี ออสเตรีย เป็นต้น หากไม่มีมาตรการดังกล่าวแม้จะชนะคดีก็อาจแพ้ในทางปฏิบัติ เพราะความเสียหายและผลกระทบเกิดขึ้นไปก่อนแล้ว รวมทั้งในมาตรการดังกล่าวยังกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจตรวจสอบมาตรการดังกล่าว
ส่วนมาตรา 71/1 ว่าด้วยหลักการภายใต้บังคับแห่งรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหากมีความจำเป็นจะต้องบังคับให้เป็นไปตามคำวินิจฉัย ให้ศาลมีอำนาจกำหนดคำบังคับให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลเอาไว้ในคำวินิจฉัยนั้น โดยศาลอาจกำหนดให้มีผลในอนาคตขณะใดขณะหนึ่งหลังวันอ่านคำวินิจฉัย ตามความจำเป็นหรือสมควรตามความเป็นธรรมแห่งกรณี ซึ่งสมาชิก สนช. ทักท้วงว่า การกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเข้ามามีส่วนตรวจสอบคำบังคับให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อาจขัดรัฐธรรมนูญได้ ทำให้เกิดการถกเถียงหาข้อยุติไม่ได้ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้สั่งพักการประชุมเพื่อให้กมธ.และสมาชิกไปตกลงกัน
หลังหารือกว่าหนึ่งชั่วโมง นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ ประธานกรรมาธิการชี้แจงว่า กมธ. เสียงข้างมากหารือแล้ว เห็นชอบให้ตัดให้ตัดเนื้อหามาตรา 69/1 วรรคสามและวรรคสี่ และมาตรา 71/1 วรรคสองและวรรคสาม โดยไม่ให้สภาผู้แทนราษฎรเข้ามาตรวจสอบข้อกำหนดและมาตรการชั่วคราวของศาลรัฐธรรมนูญ
ต่อมาได้พิจารณาบทเฉพาะกาล มาตรา 76 ว่าด้วยเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดย กมธ. เสียงส่วนใหญ่ เห็นว่า ตุลาการ 4 คน ควรจะอยู่จนครบวาระ ไม่ควรนำคุณสมบัติของรัฐธรรมนูญ ปี 60 มาใช้ ส่วนตุลาการ 5 คน ที่พ้นตำแหน่งแล้ว แต่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้น ได้กำหนดให้มีการสรรหาใหม่ แต่ กมธ. เสียงข้างน้อย เห็นว่า เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ขอให้ตุลาการที่พ้นตำแหน่ง 5 คน อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะสรรหาคนใหม่ แต่ที่ไม่ประสงค์ให้อยู่ยาวเนื่องจากเขาพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว
ขณะที่สมาชิก สนช. ที่ขอแปรญัตติไว้ เช่น นายธานี อ่อนละเอียด นายสมชาย แสวงการ เป็นต้น เห็นว่า ควรให้ตุลาการ 5 คน ที่อยู่ตามคำสั่ง คสช. อยู่ปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก เพื่อให้ทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และ ผู้นำฝ่ายค้าน ร่วมสรรหาด้วย เพื่อความสง่างาม ซึ่งนายสมคิด ชี้แจงว่า ในมาตรา 77 กมธ. เสียงข้างมาก ได้เขียนระยะเวลาการสรรหาตุลาการใหม่ 5 คน กำหนด 200 วัน ซึ่งกระบวนการทั้งหมดใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี ใกล้เคียงกับระยะเวลาการเลือกตั้งใหม่ แต่หลังจากที่ฟังการอภิปรายของสมาชิกที่ต้องการให้ตุลาการทั้ง 5 คน อยู่ต่อไปจนถึงการเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกนั้น กมธ. ก็เห็นด้วย
ด้าน นายสุพจน์ ไข่มุกด์ กมธ. เสียงข้างน้อย และอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ท้วงติงว่า การให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่ไปจนถึงการประชุมรัฐสภาจะเกิดความสง่างาม เพราะมีประธานสภาฯและผู้นำฝ่ายค้าน แต่ความสง่างามจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อปัจจุบันตุลาการ 5 ท่านที่หมดวาระไปแล้วปฏิบัติหน้าที่ต่อไปภายใต้คำสั่ง คสช. ฉบับที่ 24/2560 จะพูดเรื่องสง่างามได้อย่างไร
“เหมือนเหล้าใหม่ในขวดใหม่จะอยู่จนแบบไม่มีที่สิ้นสุดก็ไม่มีความสง่างาม และปัจจุบันทั้ง 5 คนปฏิบัติหน้าที่ครบ 9 ปีแล้ว จะให้ปฏิบัติหน้าที่จนถึงปีที่ 11 ปีที่12 ปีที่ 13 ต่อไป ผมคิดว่าความสง่างามจะไม่เกิดขึ้น” นายสุพจน์ กล่าว
จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติในวาระสอง เรียงรายมาตรา และลงมติในวาระสาม เห็นชอบด้วยคะแนน 188 ต่อ 0 งดออกเสียง 5 เสียง ซึ่งกระบวนการต่อไป สนช. จะส่งให้องค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง คือ ศาลรัฐธรรมนูญ และ กรธ. เพื่อพิจารณา ต่อไป