“อังคณา” ย้ำเป็นสิทธิญาติผ่าพิสูจน์ศพ “น้องเมย” หากยังข้องใจสาเหตุการตาย รับตกใจคำชี้แจงแพทย์ควักอวัยวะออกโดยไม่ได้ให้ญาติเซ็นหนังสือยินยอม ชี้ธำรงวินัยทหาร เข้าข่ายทรมาน ขัดหลักอนุสัญญาที่ไทยเป็นสมาชิก ยัน กสม.พร้อมตรวจสอบหากญาติร้องไม่ได้รับความเป็นธรรม
วันนี้ (23 พ.ย.) นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) กล่าวถึงการเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย ว่ารู้สึกตกใจและแปลกใจต่อการที่แพทย์ออกมาระบุในทำนองว่าสามารถเอาอวัยวะภายในของน้องเมยออกไปได้ ทั้งที่ความจริงแล้วจะทำอะไรก็ควรต้องบอกกับญาติให้ทราบชัดเจนก่อน ไม่ควรทำด้วยวาจาแต่ต้องทำเป็นเอกสารและให้เซ็นยินยอม และการเสียชีวิตแบบผิดธรรมชาตินั้จะต้องมีการชันสูตร อย่างกรณีในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีการชันสูตรไม่ได้เลยหากญาติไม่เซ็นยินยอม ในกรณีของน้องเมยนั้นแพทย์อธิบายให้ญาติฟังชัดเจนแต่แรกว่าจะเอาอวัยวะภายในอะไรออกไปบ้าง แค่ไหนอย่างไร และมีการให้ญาติเซ็นหนังสือยินยอม ญาติก็คงจะไม่มีการเอาศพน้องไปผ่าซ้ำเพราะรู้อยู่แล้วว่าผ่าไปก็ไม่เจออะไร ดังนั้นคิดว่าญาติคงไม่ทราบว่าจะมีการนำอวัยวะสำคัญออกไป และการที่ญาติยังมีความข้องใจเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิต ก็เป็นสิทธิของญาติที่จะผ่าศพพิสูจน์อีกกี่ครั้งก็ได้ เหมือนกับกรณีของนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ ที่ก็มีการผ่าพิสูจน์หลายครั้ง
เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายละเมิดหรือไม่ นางอังคณากล่าวว่า ต้องสรุปชัดเจนก่อนว่าน้องเมยเสียชีวิตเพราะอะไร หากเสียชีวิตโดยไม่ได้มีใครไปทุบทำร้ายเขา แต่เสียชีวิตเพราะถูกบังคับให้กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจนร่างกายรับไม่ไหวก็ต้องถือว่าเขาเสียชีวิตโดยการที่มีคนซึ่งมีอำนาจบังคับให้เขาต้องทำแบบนั้น ซึ่งคนที่มีอำนาจคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ
ส่วนที่ทหารอ้างว่าเรื่องธำรงวินัยเป็นเรื่องปกติที่จะฝึกวินัยความอดทนของนักเรียนใหม่ เห็นว่า ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านทรมานแล้วทั้งปี 50 และปี 52 ซึ่งประเทศก็มีภาระผูกพันที่ต้องทำตามอนุสัญญานี้ และอนุสัญญาต่อต้านทรมานของสหประชาชาติก็ระบุไว้ว่า ไม่ว่าสถานการณ์ใดรวมถึงสภาวะสงคราม การทรมานไม่สามารถเอามาใช้เป็นเหตุผลที่จะกระทำต่อบุคคล อย่างไรก็ไม่ได้ อีกทั้งปัจจุบันมีร่างกฎหมายทรทานสูญหายที่ขณะนี้อยู่ในชั้นการแก้ไขของกระทรวงยุติธรรมหลังจากที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติให้นำกลับไปปรับปรุงเนื้อหา โดยตามร่างกฎหมายนี้การทรมานทำไม่ได้ไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ และการทรมานตามนิยามไม่ได้หมายถึงการทรมานด้านร่างกายอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการทรมานด้านจิตใจ การบังคับขู่เข็ญด้วย ฉะนั้น การธำรงวินัย เช่น การชกท้อง หรือบังคับให้ทำอะไรหนักๆ เกินกว่าร่างกายจะรับไหว มันก็เข้าข่ายเป็นการทรมานอยู่แล้วซึ่งก็ทำไม่ได้
“ก็เป็นคำถามที่ท้าทายทางทหารเหมือนกันว่า ต่อไปเรามีกฎหมายต่อต้านการทรทานแล้วเรายังบอกว่าธำรงวินัยเป็นวัฒนธรรมของโรงเรียนที่จะต้องรักษาไว้ให้ยังคงอยู่อีกหรือ เพราะถ้ากฎหมายทรมานสูญหายมีผลบังคับใช้ วิธีการที่เป็นการบังคับจิตใจหรือทำให้เกิดความทุกข์ทรมานร่างกาย จิตใจ ผิดกฎหมายหมดเลย เพราะถือว่าเป็นอาชญากรรม”
นางอังคณายังเห็นว่า การจะทำให้คนรู้รักษาวินัย มีวิธีการการอื่นๆ อีกมากมาย และประเพณีวัฒนธรรมอะไรที่ไมดี ไม่ถูกต้องก็ควรจะปรับปรุง ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียน โดยหากรัฐบาลจะประกาศเอาเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ ก็ควรจะปฏิรูประบบนี้เสีย ไม่เช่นนั้นก็จะไปเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีกกับลูกของประชาชนคนอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของญาติผู้เสียหาย หากรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้ กสม.ก็จะเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงซึ่งจะตรวจสอบได้ว่ามีการละเมิดหรือไม่ แต่ก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เกิดความจริงได้ง่าย เพราะผู้ที่เห็นเหตุการณ์คือนักเรียนนายร้อยด้วยกัน อยู่ที่ว่าจะพูดหรือไม่ เพราะก็อาจจะอ้างเรื่องวินัย พูดไม่ได้ เป็นความลับราชการ ก็ยากจะหาหลักฐาน นอกจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายหรือไม่ น่าจะเกิดจากสาเหตุอะไร แต่ก็อาจจะฟันธงไม่ได้ชัดถ้าพยานที่เห็นเหตุการณ์ไม่พูด
“จริงๆ เรื่องนี้หากเจ้าหน้าที่ระดับสูงคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรจะเยียวยาครอบครัวเขาก็ควรบอกความจริงกับเขาดีกว่า” นางอังคณากล่าว