เลขาฯ สมาคมองค์การพิทักษ์ รธน.มาตามนัด ร้อง กสม.สอบข้อเท็จจริงกรณี “น้องเมย” นร.เตรียมทหารเสียชีวิต เชื่อวัฒนธรรมการซ่อม หรือการธำรงวินัย ละเมิดสิทธิ กสม.รับลูก ย้ำต้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ปฏิบัติเหมือนเป็นสิ่งของ
วันนี้ (24 พ.ย.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นหนังสือถึงกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ผ่านนายโสพล จริงจิตร รองเลขาธิการ ขอให้ตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่เสียชีวิต ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา
นายศรีสุวรรณระบุว่า การเสียชีวิตของน้องเมยเป็นที่น่าสงสัย หลายคนมีความคาใจ คือ เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้อย่างไร เมื่อทางครอบครัวยืนยันว่าน้องเมยแข็งแรงดี สอบวิชาพละได้คะแนนเกือบเต็ม ขัดแย้งกับทางกองทัพไทยที่ชี้แจงว่าน้องเมยอาจมีโรคประจำตัว ข้อสังเกตดังกล่าวเป็นข้อพิรุธที่จะต้องมีการตรวจสอบให้สาธารณชนรับรู้ว่า ผอ.ทางกองแพทย์ และกองพยาบาล โรงเรียนเตรียมทหารมีพฤติการณ์ปิดบังข้อเท็จจริงทางการแพทย์ ที่ต้องแจ้งให้กับญาติผู้เสียชีวิตทราบ อันเป็นการขัดหรือแย้งต่อจรรยาบรรณทางการแพทย์หรือไม่ การคัดกรองบุคคลเข้าเรียน มีความผิดพลาด ล้มเหลวหรือไม่ รวมถึงวัฒนธรรมการซ่อม หรือการธำรงวินัย ที่เป็นวัฒนธรรมของทหาร ที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น จนเป็นเรื่องปกติ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ผู้บัญชาการปล่อยปละละเลยให้นักเรียนรุ่นพี่ลงโทษรุ่นน้อง โดยไม่คำนึงถึงเหตุร้ายต่างๆ ที่จะตามมา ซึ่งช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาพบว่ามีนักเรียนเตรียมทหารตายทุกปี ทั้งที่นักเรียนเหล่านั้นตั้งใจที่จะจบมาแล้วทำงานเพื่อรับใช้ประเทศชาติ และแทนคุณแผ่นดิน แต่กลับกลายเป็นว่าเข้าไปเพื่อรับใช้ความบ้าคลั่งของรุ่นพี่บางคน
“เป็นเพราะระบบงานในโรงเรียนเตรียมทหารล้มเหลว ผู้บังคับบัญชาขาดการเอาใจใส่ ปล่อยปละละเลยนักเรียนรุ่นพี่ให้ปกครองรุ่นน้องซึ่งมีวุฒิภาวะเทียบเท่านักเรียนชั้น ม.5 และ ม.6 ปกครองกันเอง โดยไม่คำนึงถึงเหตุร้ายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่ ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างผิดๆ ในส่วนของการลงโทษที่เรียกว่าการแดกกันจนเกินสมควร จนมีการบาดเจ็บและมีผู้เสียชีวิตในะระยะ 3-4 ปี จริงหรือไม่” นายศรีสุวรรณกล่าว และว่าการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่าเคยถูกซ่อมจนสลบและแต่ไม่ตาย เป็นการยอมรับว่าโรงเรียนเตรียมทหารมีการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และละเมิดสิทธิมนุษยนชน ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 4 ให้ความคุ้มครองไว้หรือไม่
นอกจากนี้ยังเห็นว่า การที่แพทย์เก็บอวัยวะภายในของน้องเมยไว้โดยไม่ได้มีการแจ้งญาติ ถือว่าผิดจรรยาทางการแพทย์หรือไม่ และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 หรือไม่ ดังนั้น ข้อพิรุธทั้งหมดนี้ทางสมาคมฯ เห็นว่าหากปล่อยไว้ให้เรื่องเงียบหายไปก็จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบบริหารราชการแผ่นดิน และกระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ และนานาประเทศที่เฝ้าติดตามการใช้อำนาจของรัฐในไทยขณะนี้ และอาจขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี จึงอยากให้ กสม.ทำความจริงจริงให้ปรากฏ รายงานข้อเท็จจริงให้สาธารณชนได้รับทราบว่าการดำเนินการดังกล่าวขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เพื่อเป็นผลงานชิ้นโบแดงก่อนที่ กสม.ชุดนี้จะหมดวาระไป
ด้านนายโสพลกล่าวว่า ดีใจที่นายศรีสุวรรณไม่นิ่งดูดายต่อเรื่องนี้ และนำมาร้องต่อ กสม.ซึ่งกรณีนี้เข้าข่ายอาจจะละเมิดสิทธิ และพฤติกรรมการการซ่อม การทรมาน อาจจะเข้าข่ายพันธกรณีระหว่างประเทศ และกฎหมายทรมานของไทย เพราะการปฎิบัติต้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ปฏิบัติเหมือนเป็นสิ่งของ หรือไม่ใช่มนุษย์ “ผมเข้าใจว่าการตรวจสอบชัดเจน มีหลักฐานเหตุผลเพียงพอ เหมือนข้อเท็จจริงบางอย่างน่าจะยุติแล้ว แต่ไม่ชัดเจน กรณีกระดูกซี่โครงหักหรือไม่หัก การตรวจของแพทย์ที่ไม่ตรงกัน ก่อให้เกิดความสงสัยในสังคม ทาง กสม.ก็จะมีการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริง จากนั้นก็จะนำเสนอ ครม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” นายโสพลกล่าว และว่าในช่วงเช้าที่ผ่านมา กสม.ได้หารือที่ห้องประธาน กสม.เกี่ยวกับเรื่องนี้และเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายวันนี้ (24 พ.ย.) นายวัส ติงสมิตร ประธาน กสม.อาจจะแถลงข่าวด้วยตัวเอง