นายกฯมั่นใจ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ตอบสนองความต้องการประชาชนตรงจุด ขอให้ช่วยแจ้งปัญหากันเข้ามา เพราะโครงการใหญ่ขนาดนี้ไม่เคยทำ ต้องช่วยกันปรับปรุง ลั่น “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” แค่วางกรอบให้พรรคการเมืองปรับเปลี่ยนได้ตามเหมาะสม ไม่ใช่ให้ติดกับ 20 ปี ล้าสมัย
วันนี้ (20 ต.ค.) เมื่อเวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ช่วงหนึ่งว่า โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้มีรายได้น้อย ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร และผู้ประกอบอาชีพอิสระอื่นๆ ที่มีรายได้น้อยกว่า 1 แสนบาทต่อปี ให้มีการลงทะเบียน ครั้งแรก 2559 เป็นมาตรการหนึ่งที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต โดยมีการโอนเข้าบัญชีผู้ลงทะเบียนที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้วราว 8 ล้านคน รวมเป็นวงเงินราว 17,000 ล้านบาท ครั้งที่ 2 ปัจจุบัน เป็นการให้สวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเราแบ่งการช่วยเหลือเป็น 2 ส่วน คือ ค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวัน 300 บาท 2 เป็นค่าเดินทาง 1,500 บาท รายละเอียดพวกท่านทราบดีอยู่แล้ว มีผู้ลงทะเบียนผ่านคุณสมบัติตามโครงการกว่า 11 ล้านราย
นายกฯ กล่าวอีกว่า อันนี้เป็นการเริ่มต้น เราต้องจัดสรรปันส่วนให้ครบถ้วนและให้เกิดความเป็นธรรม ครั้งนี้ ค่าใช้จ่ายรายวันเราจำเป็นต้องผูกโยงกับการซื้อสินค้าที่จำเป็นในครัวเรือนกว่า 300 รายการ จากผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค เรายังไม่สามารถไปถึงการซื้อทั่วไปได้ในระยะแรกนี้ ซึ่งเราได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนต่างๆ ของโครงการนี้ จากรัฐบาลนี้ ด้วยการจำหน่ายสินค้าราคาต่ำกว่าตลาด เพราะยังไงต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่แล้ว อย่าไปมองว่าเขาจะได้ประโยชน์ เขามีคนงาน มีผู้อยู่ในสถานประกอบการอีกมากมาย พี่น้องเราทั้งสิ้น เขาจะได้มีเงินเดือนด้วยในส่วนของผู้ประกอบการล่าง ระดับผู้ปฏิบัติ อันนี้เราจะขายสินค้าราคาต่ำกว่าท้องตลาด ร้อยละ 20 โดยประมาณ ลองคิดดูว่า ถ้าเราไปซื้อของข้างนอก ได้อย่างหรือเปล่า ต้องหารือต่อไป ที่หลายคนอยากให้ซื้อของตามร้าน ขายของเอกชนด้วย ต้องเป็นระยะต่อไป จะทำยังไง คงต้องมีมาตรการควบคุม หรือวิธีการที่เหมาะสม
วันนี้ เราซื้อที่ร้านธงฟ้าไปก่อนมีกว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศ ปัญหาของเราคือ การติดเครื่องรับการ์ด อันนี้เร่งดำเนินการอยู่ เป้าหมายของเรา คือ แต่ละตำบลต้องมีร้านธงฟ้าอย่างน้อย 1 แห่ง ในอนาคตอันใกล้ ต้องขยายให้ได้ 18,000 แห่ง วันนี้ ยังต้องเดินทางอยู่บ้าง การบริการระยะแรกอาจมีปัญหาอยู่บ้าง ต้องช่วยกันปรับปรุงแก้ไข มีอะไรแจ้งมา หากเราเฉพาะปัญหาและมาย้อนแย้งไปมามันทำอะไรไม่ได้ทั้งหมด ต้องกลับไปที่เดิมใหม่ ลองคิดดูแล้วกัน ช่วยแจ้งปัญหากลับมาด้วยนะครับ โครงการใหญ่อย่างนี้ ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน ไม่เคยแยกคนอย่างนี้ เพราะฉะนั้น กิจกรรมจะมากหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง ภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนเป็นผู้บริโภค ต่อไปจะเป็นการทำโครงการต่างๆ ระยะต่อไป เชื่อมโยงตลาดชุมชน ตลาดเดิมๆ ให้เป็นทางเลือกใหม่สำหรับพี่้น้องประชาชนที่มีรายได้น้อยต่อไป ซึ่งจะสร้างโอกาสให้กับเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าโอทอป ผู้ผลิตสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน ให้มีพื้นที่ขายสินค้าเหล่านั้นด้วย แต่ต้องดูว่าจะผูกเชื่อมโยงได้หรือเปล่า ตามที่พี่น้องเรียกร้องกันมา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า เรื่องบัตรสวัสดิการนี้ มันเป็นเพียงแนวทางหนึ่งเท่านั้นของรัฐบาลในปัจจุบัน เพื่อจะแก้ไขปัญหาผู้มีรายได้น้อยแบบมุ่งเป้าและยั่งยืน เน้นตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนให้ตรงจุด ตอบโจทย์ให้ตรงประเด็น บางคนอาจจะบอกว่า ไม่ตรงๆ มีตรงอยู่บ้าง มากกว่าไม่ตรง เพราะเราชี้ชัดเป้าหมายของเราลงไป รัฐบาลจะต้องวางโครงสร้าง ฐานข้อมูลกลางภาครัฐ เชื่อมโยงข้อมูลของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และกำหนดมาตรการ เพื่อให้ความช่วยเหลือไม่ซ้ำซ้อน ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา จึงจะเป็นการบริหารจัดการต่อปัญหาของผู้มีรายได้น้อยได้อย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการช่วยเหลือในอนาคตนั้น จะเป็นมากกว่าการให้สวัสดิการ โดยจะส่งเสริมอาชีพ การฝึกทักษะแรงงาน มีการเพิ่มศักยภาพของแรงงาน ก็มีแนวความคิดในการสร้างแรงจูงใจให้กับผู้มีรายได้น้อยไม่ว่าจะอยู่ในวัยแรงงาน หรือวัยชรา ที่มีความพร้อมทำงานตามขีดความสามารถ และตามความสมัครใจ สำหรับเข้าโครงการอบรม การเสริมความรู้ แล้วก็หาอาชีพต่างๆ เพิ่มเติม เช่น งานช่างฝีมือ งานซ่อมรถ ซ่อมแอร์ ช่างไฟฟ้า ช่างประปา หรืองานประกอบการ ทำขนม เหล่านี้เป็นต้น
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะอำนวยความสะดวก และแสวงความร่วมมือกลไกประชารัฐในพื้นที่ในแต่ละชุมชน โดยจะทำเป็นโครงการระยะที่ 2 ต่อไป ขอให้ติดตาม
นายกฯยังกล่าวต่ออีกว่า เราจะต้องลดช่องว่างรายได้ของคนทุกระดับให้แคบลงให้ได้ ทุกฝ่าย ทั้งประชารัฐในรัฐบาลปัจจุบัน และผมขอความเห็นของนักการเมืองทุกพรรคด้วย เราจำเป็นต้องเดินตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปติดกับ 20 ปีล้าสมัย ไม่ใช่เลย เราต้องการให้มีความต่อเนื่อง ไม่สะดุด ทุกรัฐบาลก็เดินหน้าไปตลอด 20 ปี ท่านจะมีนโยบายต่างๆ มาก็ต้องร่วมกัน
ทุกพรรคการเมือง ช่วยกันวางกรอบตามที่รัฐบาล และ คสช. ได้วางไว้แล้วในขั้นต้น ผมก็เพียงแต่วางไว้ให้ แล้วท่านจะปรับเปลี่ยนอะไร ท่านก็ว่าไปตามกฎหมายก็มีอยู่แล้ว การร่วมมือกันทำงาน แน่นอน ทุกความคิดทุกวิธีการมันมีที่แตกต่าง คนไทยต้องเก่งทุกคนนะ แต่ต้องแยกให้ออกว่า อะไรคือยุทธศาสตร์ชาติ อะไรคือนโยบายพรรค เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในทุกด้าน บนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส รวมทั้งปราศจากการทุจริต และการทำประชานิยม ในสิ่งที่ผิดๆ จะนำผลเสียมาสู่วินัยการเงิน การคลัง ของประเทศ ในระยะยาว อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ในขณะเดียวกัน ก็จะต้องลดความขัดแย้งในทุกมิติ ต้องตอบว่าแล้วท่านจะทำอย่างไร ท่านบอกว่าผมทำไม่สำเร็จ แล้วท่านจะทำอะไรบ้าง สร้างความปรองดอง ในทุกกิจกรรม ช่วยกันได้ยังไง โดยเฉพาะด้านการเมือง และความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ให้เกิดความมีเสถียรภาพที่ยั่งยืน
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 20 ตุลาคม 2560
...
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เมื่อวันพุธที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงประกอบพิธียกนพปฎลมหาเศวตฉัตร พระเมรุมาศ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พิธีท้องสนามหลวงอันเป็นขั้นตอนสุดท้ายสำคัญ สำหรับในช่วงการเตรียมการ ซึ่งปัจจุบันมีความพร้อมบริบูรณ์แล้ว ทั้งกิจกรรมที่สำคัญ สถานที่ การบริหารจัดการต่างๆ โดยคณะกรรมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นที่ปรึกษา คงเหลือเพียงการซ้อมใหญ่เสมือนจริงของริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศทั้ง 6 ริ้วขบวนอีกครั้ง ในวันที่ 21-22 ตุลาคม ศกนี้
สำหรับช่วงสัปดาห์หน้านั้นจะมีพระประมุข พระราชวงศ์ และประมุขแห่งรัฐจำนวนมากทั่วโลกหลายประเทศ เสด็จพระราชดำเนินมาร่วมในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม ที่จะมาถึงนี้ เป็นอีกเหตุการณ์สำคัญหนึ่งของประวัติศาสตร์โลก ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทุกคนร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดี รักษาบรรยากาศความสงบเรียบร้อย และการไว้อาลัย เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลความสะอาดเรียบร้อย การเฝ้าระวังความปลอดภัยทุกสถานที่ พร้อมใจกันต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองในนามพ่อหลวงไทยด้วย
ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ขอขอบคุณจิตอาสา พ่อค้าประชาชน และทุกภาคส่วนที่ร่วมจิตร่วมใจทำความดีเพื่อพ่อนับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ รวมทั้งจิตอาสาเฉพาะกิจกว่า 4 ล้านคน ตามพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีความมุ่งมั่น และเข้มแข็งในการปฏิบติภารกิจทั้ง 8 กิจกรรมตามที่รับมอบหมายทุกพื้นที่ ก็เป็นการรวมพลังความรัก ความสามัคคีเพื่อชาติที่สำคัญครั้งหนึ่งเพื่อถวายแด่ผู้เสด็จสู่สวรรคาลัยเป็นครั้งสุดท้าย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงชื่นชมและทรงขอบใจทุกคนตามที่ทราบกันแล้วก่อนหน้านี้
พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ ปัจจุบันเกณฑ์ชี้วัดต่างๆ ทางเศรษฐกิจนับว่ามีทิศทางที่ดีขึ้นในภาพรวมโดยลำดับ ซึ่งผมเชื่อว่าจะทยอยส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจระดับฐานรากอย่างยั่งยืน แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเราไม่ได้นิ่งเฉยปัญหารายวัน ไม่ได้ดูตัวเลขอย่างเดียว ที่สำคัญคือเรื่องปากท้องและการทำมาหาเลี้ยงครอบครัว รวมทั้งการกระจายรายได้ให้ทั่วถึง ซึ่งต้องทำเป็นระยะๆ 3 ปี ที่ผ่านมา คณะรัฐบาลดำเนินการหลายมาตรการด้วยกันเพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานราก อาจเป็นการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มกิจกรรมบ้าง หรือช่วยเหลือในการให้สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ ผสมผสานกันไปกว่าประมาณ 2 ล้านล้านบาทแล้ว อาทิ กลุ่มเกษตรกรรอบแรกและเป็นการซ่อมสร้าง กระตุ้นเศรษฐกิจภายใน 3 เดือน ใช้วงเงินกว่า 360,000 ล้านบาท รอบ 2 นั้น จะเป็นผู้มีรายได้น้อย ซึ่งประกอบด้วย 4 มาตรการ วงเงินรวมกว่า 45,000 ล้านบาท อันได้แก่
1. การดูแลภาระหนี้สินเกษตรกร การพักชำระเงินต้นเป็นเวลา 2 ปี และการลดดอกเบี้ยสำหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธนาคารเพื่อเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยมีเกษตรกรได้รับผลประโยชน์ราว 2 ล้านราย รายหนึ่งไม่เกิน 5 แสนบาท
2. คือ การอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแก่เกษตรกร 3 แสนราย
3. คือ การประกันภัยพืชผล 7 ประเภท ให้เกษตรกร 1.5 ล้านราย ครอบคลุมพื้นที่ 30 ล้านไร่ และ
4. คือ การช่วยเหลือปัจจัยการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง 37 ล้านราย รายละไม่เกิน 10 ไร่ ไร่ละ 1,000 บาท เป็นต้น ใช้เงินจำนวนมาก แต่ต้องทำให้ทั่วถึงทั้งประเทศ
สอง การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอันเป็นภาระใหญ่หลวง เช่น การช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากพายุตาลัคและเซินกา ครัวเรือนละ 3,000 บาท ใช้กรอบวงเงินประมาณ 1,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นเกษตรกรใน 36 จังหวัด เป็นพื้นที่มากกว่า 4 ล้านไร่ ในภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง รวมทั้งพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชังกว่า 27,000 ไร่ เป็นต้น เพื่อเราจะบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องเกษตรกรในการชำระหนี้ในการใช้เป็นค่าใช้จ่ายรายวันด้วย อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องสูญเสียมาตลอด
สาม คือ โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้มีรายได้น้อย ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร และผู้ประกอบอาชีพอิสระอื่นๆ ที่มีรายได้น้อยกว่า 1 แสนบาทต่อปี ให้มีการลงทะเบียน ครั้งแรก 2559 เป็นมาตรการหนึ่งที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต โดยมีการโอนเข้าบัญชีผู้ลงทะเบียนที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้วราว 8 ล้านคน รวมเป็นวงเงินราว 17,000 ล้านบาท ครั้งที่ 2 ปัจจุบัน เป็นการให้สวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเราแบ่งการช่วยเหลือเป็น 2 ส่วน คือ ค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวัน 300 บาท 2 เป็นค่าเดินทาง 1,500 บาท รายละเอียดพวกท่านทราบดีอยู่แล้ว มีผู้ลงทะเบียนผ่านคุณสมบัติตามโครงการกว่า 11 ล้านราย
อันนี้เป็นการเริ่มต้นระยะแรก เราต้องจัดสรรปันส่วนให้ครบถ้วนและให้เกิดความเป็นธรรม ครั้งนี้ ค่าใช้จ่ายรายวันเราจำเป็นต้องผูกโยงกับการซื้อสินค้าที่จำเป็นในครัวเรือนกว่า 300 รายการ จากผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค เรายังไม่สามารถไปถึงการซื้อทั่วไปได้ในระยะแรกนี้ ซึ่งเราได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนต่างๆ ของโครงการนี้ จากรัฐบาลนี้ ด้วยการจำหน่ายสินค้าราคาต่ำกว่าตลาด เพราะยังไงต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่แล้ว อย่าไปมองว่าเขาจะได้ประโยชน์ เขามีคนงาน มีผู้อยู่ในสถานประกอบการอีกมายมาย พี่น้องเราทั้งสิ้น เขาจะได้มีเงินเดือนด้วยในส่วนของผู้ประกอบการล่าง ระดับผู้ปฏิบัติ อันนี้เราจะขายสินค้าราคาต่ำกว่าท้องตลาด ร้อยละ 20 โดยประมาณ ลองคิดดูว่า ถ้าเราไปซื้อของข้างนอก ได้อย่างหรือเปล่า ต้องหารือต่อไป ที่หลายคนอยากให้ซื้อของตามร้าน ขายของเอกชนด้วย ต้องเป็นระยะต่อไป จะทำยังไง คงต้องมีมาตรการควบคุม หรือวิธีการที่เหมาะสม
วันนี้ เราซื้อที่ร้านธงฟ้าไปก่อนมีกว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศ ปัญหาของเราคือ การติดเครื่องรับการ์ด อันนี้เร่งดำเนินการอยู่ เป้าหมายของเราคือแต่ละตำบลต้องมีร้านธงฟ้าอย่างน้อย 1 แห่ง ในอนาคตอันใกล้ ต้องขยายให้ได้ 18,000 แห่ง วันนี้ ยังต้องเดินทางอยู่บ้าง การบริการระยะแรกอาจมีปัญหาอยู่บ้าง ต้องช่วยกันปรับปรุงแก้ไข มีอะไรแจ้งมา หากเราเฉพาะปัญหาและมาย้อนแย้งไปมามันทำอะไรไม่ได้ทั้งหมด ต้องกลับไปที่เดิมใหม่ ลองคิดดูแล้วกัน ช่วยแจ้งปัญหากลับมาด้วยนะครับ โครงการใหญ่อย่างนี้ ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน ไม่เคยแยกคนอย่างนี้ เพราะฉะนั้น กิจกรรมจะมากหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง ภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนเป็นผู้บริโภค ต่อไปจะเป็นการทำโครงการต่างๆ ระยะต่อไป เชื่อมโยงตลาดชุมชน ตลาดเดิมๆ ให้เป็นทางเลือกใหม่สำหรับพี่้น้องประชาชนที่มีรายได้น้อยต่อไป ซึ่งจะสร้างโอกาสให้กับเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าโอทอป ผู้ผลิตสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน ให้มีพื้นที่ขายสินค้าเหล่านั้นด้วย แต่ต้องดูว่าจะผูกเชื่อมโยงได้หรือเปล่า ตามที่พี่น้องเรียกร้องกันมา
ส่วนการกระจายรายได้ การสร้างความเข้มแข็งชุมชน รัฐบาลกำลังพิจารณากำหนดนโยบายหาแนวทางในการส่งเสริมในการจัดตั้งตลาดประชารัฐ รูปแบบต่างๆ ทุกพื้นที่ มีหลายรูปแบบด้วยกัน ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในตลาดนี้ คล้ายๆ ว่าเป็นช่องทางการตลาด ให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงเป็นช่องทางของประชาชน เกษตรกรโดยตรงทำนองนี้
เรื่องบัตรสวัสดิการนี้ มันเป็นเพียงแนวทางหนึ่งเท่านั้นของรัฐบาลในปัจจุบัน เพื่อจะแก้ไขปัญหาผู้มีรายได้น้อยแบบมุ่งเป้าและยั่งยืน เน้นตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนให้ตรงจุด ตอบโจทย์ให้ตรงประเด็น บางคนอาจจะบอกว่า ไม่ตรงๆ มีตรงอยู่บ้าง มากกว่าไม่ตรง เพราะเราชี้ชัดเป้าหมายของเราลงไป รัฐบาลจะต้องวางโครงสร้าง ฐานข้อมูลกลางภาครัฐ เชื่อมโยงข้อมูลของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และกำหนดมาตรการ เพื่อให้ความช่วยเหลือไม่ซ้ำซ้อน ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา จึงจะเป็นการบริหารจัดการต่อปัญหาของผู้มีรายได้น้อยได้อย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการช่วยเหลือในอนาคตนั้น จะเป็นมากกว่าการให้สวัสดิการ โดยจะส่งเสริมอาชีพ การฝึกทักษะแรงงาน มีการเพิ่มศักยภาพของแรงงาน ก็มีแนวความคิดในการสร้างแรงจูงใจให้กับผู้มีรายได้น้อยไม่ว่าจะอยู่ในวัยแรงงาน หรือวัยชราที่มีความพร้อมทำงานตามขีดความสามารถ และตามความสมัครใจ สำหรับเข้าโครงการอบรม การเสริมความรู้ แล้วก็หาอาชีพต่างๆ เพิ่มเติม เช่น งานช่างฝีมือ งานซ่อมรถ ซ่อมแอร์ ช่างไฟฟ้า ช่างประปา หรืองานประกอบการ ทำขนม เหล่านี้เป็นต้น
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะอำนวยความสะดวก และแสวงความร่วมมือกลไกประชารัฐในพื้นที่ในแต่ละชุมชน โดยจะทำเป็นโครงการระยะที่ 2 ต่อไป ขอให้ติดตามนะครับ
พี่น้องประชาชนครับ หลายปัญหาที่รัฐบาล และ คสช. ทุ่มเทความพยายามในการแก้ปัญหา ไม่เพียงแต่ระยะเร่งด่วน แต่ต้องการสร้างความยั่งยืนไปด้วยตามศาสตร์พระราชาให้เกิดขึ้นในอนาคต อาทิ
1. คือ นโยบายเกษตรแปลงใหญ่ ประเทศไทยเรามีพื้นที่เกษตรกรรมราว 150 ล้านไร่ มีเกษตรกรขึ้นทะเบียนราว 5.7 ล้านครัวเรือน ผลการดำเนินการในปัจจุบันนั้น มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการมากกว่า 150,000 ราย ยังไม่มากเท่าไร รวมเป็นพื้นที่แปลงใหญ่กว่า 1,900 แปลง รวมกันเกือบ 2 ล้านไร่ ครอบคลุมสินค้าเกษตร 74 ชนิด ซึ่งที่ปรากฏตามการประเมินของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คือ ทำให้เกษตรกรเข้มแข็ง ช่วยลดต้นทุนการผลิตลง เพิ่มคุณภาพผลผลิตสูงขึ้น ส่งผลให้ในปี 2560 เกษตรกรที่เข้าโครงการมีรายได้เพิ่มมากขึ้นราว 990-1,100 บาทต่อไร่ และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หลายคนยังไม่ได้เข้า ก็ยังไม่ได้เงินจำนวนนี้ เราก็ค่อยเป็นค่อยไปค่อยทำตามความสมัครใจของท่าน
นอกจากนี้ ในเรื่องของการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรให้เหมาะสมเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่มีความจำเป็น และเป็นประโยชน์ เช่น ข้าวโพด เราจำเป็นต้องลดการปลูกในพื้นที่ไม่ถูกต้องลง เพราะบางทีเกินความต้องการ
บุกรุกพื้นที่ผิดกฎหมาย เราต้องมาหาพื้นที่ปลูกใหม่ให้ถูกต้อง เหมาะสม พัฒนาพันธุ์เหล่านี้ เพราะว่าผลผลิตข้าวโพดมีความสำคัญ การผลิตในประเทศบางช่วงเวลาไม่เพียงพอต่อความต้องการ บางเวลาก็มากเกินไป
2. เรื่องของการรักษาเสถียรภาพราคายางพารา เราได้มีการให้เพิ่มปริมาณการใช้น้ำยางในประเทศ ในระยะแรกมา ด้วยการทำถนนและซ่อมแซมเส้นทางที่ชำรุด อันนี้เป็นกิจกรรมหนึ่ง เราได้เน้นเส้นทางเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน ชุมชน แหล่งผลิตและตลาด เพื่อจะทำให้ประชาชนจะได้สัญจรไปมานำสินค้าไปค้าขายได้สะดวกขึ้น จะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องในการใช้ชีวิต และการประกอบอาชีพไม่ให้เกิดอุปสรรคระหว่างการเดินทางดังกล่าว ในระยะแรกนั้นรัฐบาลให้กระทรวงกลาโหม ดำเนินการโดยเร่งด่วนจำนวน 129 เส้นทาง ระยะทางรวม 212 กิโลเมตร กระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศวงเงิน 1,013 ล้านบาท เราจะใช้น้ำยางกว่า 1,070 ตัน
ทั้งนี้ ในเรื่องของการก่อสร้าง และปรับปรุงถนนแอสฟัลท์ คอนกรีตผสมยางพารานี้ เป็นการขยายผลจากการศึกษาวิจัยของสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ซึ่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้เคยทดลองสร้างถนนตัวอย่างปรากฏว่า น้ำยางพาราจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับถนน ใช้แทนยางมะตอยได้ดีพอสมควร สามารถทำได้เร็วมากเพียง 1- 2วัน ก็เสร็จแล้ว หลังจากที่ทำพื้นชั้นล่างเรียบร้อย ค่าใช้จ่ายต่อตารางเมตร ถนนยางพาราถูกที่สุด คือ 200 - 300 บาท ถนนยางมะตอย 350 - 400 บาท และถนนคอนกรีต 750 - 800 บาท อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานนานถึง 10 ปี หรือนานกว่าถนนยางมะตอย 2 เท่า ไม่มีฝุ่นดินอีกด้วย ระยะต่อไปอาจมีการขยายผลในอีกราว 1,000 เส้นทาง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ซึ่งเราได้สำรวจความต้องการของประชาชน และชุมชนไว้ในเบื้องต้นแล้ว
และ 3. การแก้ปัญหาของรัฐวิสาหกิจ เป็นประเด็นสำคัญ เป็นแรงขับเคลื่อน เป็นเครื่องจักรตัวหนึ่งของประเทศ ของรัฐบาลเราต้องปรับปรุงแก้ไขปัญหาโดยเร็ว ให้การดำเนินงานของภาครัฐโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมานั้นมีปัญหาการขาดทุนของรัฐวิสาหกิจในหลายแห่งด้วยกันที่สะสมมานาน จนกลายเป็นภาระของรัฐบาลที่ต้องให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
ใน 2 - 3 ปีที่ผ่านมานั้น เราเห็นได้ว่ามีรัฐวิสาหกิจที่ต้องเร่งฟื้นฟูข้างต้นหลายแห่ง ที่เริ่มมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นต่อเนื่อง มีการปรับปรุงการดำเนินงานที่มีแนวทางชัดเจน เช่น กรณีบริษัทการบินไทยที่ประสบปัญหาขาดทุนมานานภายหลังแผนการปรับปรุง 4 ด้าน ในปี 2557 ได้แก่ การบริหาร การสร้างรายได้ การลดค่าใช้จ่าย และการแก้ไขโครงสร้างทางการเงิน มีทั้งการลดจำนวนพนักงานลงตามความสมัครใจด้วย การยกเลิกเที่ยวบินที่ขาดทุน การปรับปรุงเส้นทางการบิน การปรับปรุงระบบการขาย ประกอบกับการได้รับเงินจากกระทรวงการคลังมาเสริมสภาพคล่อง ส่งผลให้การดำเนินงานส่วนใหญ่เป็นไปตามแผนที่กำหนด รายได้รวมใกล้เคียงกับเป้าหมาย อัตราการขนส่งผู้โดยสารสูงกว่าคู่แข่งโดยเฉลี่ย ในปีนี้เราได้เน้นการปรับระบบการจองตั๋วผ่านอินเทอร์เน็ตให้มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการบริหารทรัพย์สิน เพื่อลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ถึงแม้ว่าผลงานปรับดีขึ้นต่อเนื่อง แต่เรายังต้องดำเนินการอีกหลายอย่าง
นอกจากนั้น เราคงจะต้องมีการปรับกลยุทธ์ เพื่อจะรองรับโอกาสจากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยว ในเรื่องของการปลดธงแดงขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ซึ่งเราทำเป็นผลสำเร็จแล้ว รวมทั้งต้องกำกับดูแลคุณภาพการให้บริการให้เหมาะสม เราจึงจะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน อีกรัฐวิสาหกิจที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นอย่างชัดเจนเป็นไปตามแผนคือ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ที่เรียกว่า SME Bank มีแผนฟื้นฟูช่วงแรก มีการดำเนินงาน 4 แนวทาง ได้แก่
- การบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยจัดกลุ่มลูกหนี้ แยกตามสถานะ และมีกระบวนการดูแล หรือปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละกลุ่ม
- การบริหารสินเชื่อที่มีคุณภาพดี และให้สินเชื่อขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มรายได้ โดยปรับกระบวนการพิจารณาสินเชื่อให้กระชับขึ้น มีกลไกการพิจารณาที่มีมาตรฐานเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงเงินทุนได้
- การบริหารสภาพคล่อง เพื่อให้มีสัดส่วนเงินกู้ระยะยาวเพิ่มขึ้น ปรับให้แหล่งที่มาของเงินทุนเป็นระยะยาวเช่นกัน เพื่อลดความเสี่ยง
- การสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงาน และจัดโครงสร้างกำลังคนให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจ ที่ผ่านมาการปล่อยสินเชื่อให้กับ SMEs เป็นไปตามเป้าหมาย มีการบริหารจัดการต้นทุน มีรายได้ต่อเนื่อง ขณะที่หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ NPL ทยอยลดลง เราแก้ไขมาเรื่อยๆ มันวูบวาบ มันแก้ที่เดียวไม่หมด แต่ยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงมีอัตราส่วนเงินกองทุนสูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ ระยะต่อไปธนาคารจะต้องจัดทำแผนขับเคลื่อนองค์กรระยะยาว เพื่อสร้างความเข้มแข็ง แข็งแกร่ง ปรับตัวเป็นองค์กรดิจิทัล เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดต้นทุนด้วย
สำหรับรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ต้องเดินหน้าทำงานในลักษณะเช่นนี้ไปให้ได้ตามแผนที่วางไว้ ต้องแก้ไขปัญหา และลดภาระทางการเงินให้ได้มากที่สุด ที่สำคัญก็คือในทุกกรณีเมื่อแก้ไขปัญหาแล้วนั้น เราจะต้องมีกระบวนการ หรือกลไกในการติดตามดูแล กรอบการปฏิบัติงานต่างๆ ต้องป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเดิมๆ ซ้ำอีก และไม่ไปสร้างปัญหาใหม่ๆ ไม่ไปสร้างหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก โดยไม่จำเป็น สำหรับการแก้ปัญหาที่รัฐบาล และ คนร. พยายามผลักดันให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการอยู่นั้น เราจะต้องทำให้การทำงานนั้นมีประสิทธิภาพ ไม่ให้ขาดทุน พอเลี้ยงตัวเองได้ ส่วนใดที่ไม่ใช่การบริการของรัฐสวัสดิการ แล้วส่วนหนึ่งก็ต้องสามารถสร้างรายได้ให้กับภาครัฐได้ด้วย แล้วให้บริการกับพี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึงมีคุณภาพ
ประชาชนที่รักครับ ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงความตั้งใจส่วนหนึ่งของรัฐบาลที่ต้องการดูแลปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน รวมทั้งพัฒนาการบริหารจัดการของภาครัฐเอง วันนี้ประเทศไทยยังมีประเด็นปัญหาอีกหลายประการที่รอการแก้ไขทั้งจากภาครัฐ ที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน รวมทั้งฝั่งภาคธุรกิจด้วย เพื่อเป็นการแก้ปัญหาให้ตรงจุดเกาถูกที่คัน ตามที่ต้องการ อย่างทั่วถึง ถ้ามีวิธีการที่ดีกว่านี้ก็บอกผมมา ถ้าทำอย่างนี้แล้วมันยังไม่ดีพอ ท่านจะเอายังไงก็บอกมา ท่านที่มีความคิดเห็นเสนอมาได้ แต่อย่าไปบอกว่า ควรจะใช้งบประมาณเหมือนเดิม เป็นไปไม่ได้ในวันนี้และวันหน้า
เรื่องที่ผมอยากจะขอถ่ายทอดแนวความคิดของผม และของรัฐบาลที่คุยกันหาหนทางกันตลอดเวลาว่า เรามีมุมมองต่อปัญหา และแนวทางที่เราจะต้องร่วมกันแก้ไขต่อไปได้อย่างไร
เรื่องที่ 1. คือ เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไร ประชาชนของเรานั้นจะเก่งขึ้น เข้มแข็งขึ้น พอเพียง และมีความสุขมากขึ้น รวมทั้งการเข้ามามีส่วนร่วมในนโยบาย และการบริหารของประเทศมากขึ้นในระบอบประชาธิปไตย ทุกคนต้องเรียนรู้พื้นฐานระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ไม่ใช่แบบเดิมๆ ที่ผ่านมา เราต้องเป็นประชาธิปไตยที่คงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยบ้างหรือไม่ ช่วยกันคิด ผมว่ามันจำเป็น วันนี้เราจะไปสู่ประชาธิปไตยวันหน้า เราต้องเข้าใจระเบียบกฎเกณฑ์ กฎหมายต่างๆ ให้มากยิ่งขึ้น ถ้าทุกคนไม่พูดกฎหมาย มันไปไม่ได้หมด มันจะทำให้เกิดผลประโยชน์ กระจายไปทุกพื้นที่ ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย อย่างเป็นธรรม วันนี้ที่มันยาก ที่มันช้าเพราะเราทำไปทั้งประเทศ แต่ถ้าเราทำเป็นกลุ่มมันก็ไม่ยากนัก ที่ผ่านมาก็ทำเป็นกลุ่มๆ แก้ปัญหาเป็นรายปีไป แล้วก็เกิดอีก วันนี้ก็ลำบากกันก่อน วันหน้าก็ได้ดีขึ้นกว่านี้ ก็ต้องแลกเอา เอาสบายแต่มันไม่ยั่งยืน ได้ไม่ครบกลุ่ม ไม่ครบพวก ประชาธิปไตยไม่เข้มแข็งสักวันสักที มันก็ลำบากนะ
เราจะต้องลดช่องว่างรายได้ของคนทุกระดับให้แคบลงให้ได้ ทุกฝ่าย ทั้งประชารัฐในรัฐบาลปัจจุบัน และผมขอความเห็นของนักการเมืองทุกพรรคด้วย เราจำเป็นต้องเดินตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปติดกับ 20 ปีล้าสมัย ไม่ใช่เลย เราต้องการให้มีความต่อเนื่อง ไม่สะดุด ทุกรัฐบาลก็เดินหน้าไปตลอด 20 ปี ท่านจะมีนโยบายต่างๆ มาก็ต้องร่วมกัน
ทุกพรรคการเมือง ช่วยกันวางกรอบตามที่รัฐบาล และ คสช. ได้วางไว้แล้วในขั้นต้น ผมก็เพียงแต่วางไว้ให้ แล้วท่านจะปรับเปลี่ยนอะไร ท่านก็ว่าไปตามกฎหมายก็มีอยู่แล้ว การร่วมมือกันทำงาน แน่นอน ทุกความคิดทุกวิธีการมันมีที่แตกต่าง คนไทยต้องเก่งทุกคนนะ แต่ต้องแยกให้ออกว่า อะไรคือยุทธศาสตร์ชาติ อะไรคือนโยบายพรรค เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในทุกด้าน บนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส รวมทั้งปราศจากการทุจริต และการทำประชานิยม ในสิ่งที่ผิดๆ จะนำผลเสียมาสู่วินัยการเงิน การคลัง ของประเทศ ในระยะยาว อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ในขณะเดียวกัน ก็จะต้องลดความขัดแย้งในทุกมิติ ต้องตอบว่าแล้วท่านจะทำอย่างไร ท่านบอกว่าผมทำไม่สำเร็จ แล้วท่านจะทำอะไรบ้าง สร้างความปรองดอง ในทุกกิจกรรม ช่วยกันได้ยังไง โดยเฉพาะด้านการเมือง และความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ให้เกิดความมีเสถียรภาพที่ยั่งยืน
2. ในภาพรวม ผมอยากให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน สร้างความเชื่อมั่น ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ช่วยกันทำในสิ่งดีๆ ให้กับคนไทยด้วยกันเอง ทุกคนทราบหมดอะไรดีไม่ดี ประเทศชาติของเรา จะดีขึ้นได้อย่างไรโดยปราศจากความขัดแย้ง ภาคธุรกิจ ก็ต้องไม่มุ่งหวังเพียงผลประโยชน์ หรือการผูกขาด แต่เพียงอย่างเดียว สังคมก็ไม่ไว้วางใจ เราต้องช่วยกันคิด เกื้อกูลกัน ให้เกิดการกระจายรายได้ ให้เกิดความเป็นธรรม ไปถึงทุกคน ทุกกลุ่ม รวมทั้งยึดโยงไปสู่ผู้มีรายได้น้อยในทุกสาขาวิชาชีพ ทุกระดับด้วย
ข้อสำคัญ เราต้องแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันให้ได้ ในทุกระดับ ทั้งในเรื่องของการสร้างระบบป้องกัน ระบบแก้ไข ระบบการบริหารจัดการ ต่างๆ ให้มันโปร่งใสให้ได้ ทุกองค์กร ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน เพราะเป็นการใช้จ่าย หรือการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ ที่ไม่ถูกกฎหมายถ้าเราไม่ทำให้ถูกต้อง เงินทุจริตมันก็จะวนเวียนมากในพื้นที่ ธุรกิจสีเทา หรือธุรกรรมเลี่ยงการเสียภาษี อันนี้แหละครับเงินมันจะแพร่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ มันก็ทำให้เกิด Demand เทียม Supplyเทียม ซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ยั่งยืนให้กับประเทศ
3. ในส่วนของภาครัฐ การใช้งบประมาณในการดูแลประชาชน เราต้องช่วยกันคิดว่า เราควรต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มอาชีพต่างๆ ที่มีรายได้ที่แตกต่างกันด้วยหรือไม่ โดยนำความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชนมาเป็นเกณฑ์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ไม่กระจุกตัว ไม่ซ้ำซ้อน ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มากจนเกินไปเพราะเป็นภาษีโดยรวมของประเทศ
ทั้งนี้ โดยหลักการแล้ว ทางวิชาการก็มีผู้กล่าวไว้แล้ว ผู้มีรายได้น้อยก็ควรได้รับการดูแลมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ที่มีรายได้ดีกว่า มันก็ต้องมี ตัวเลขออกมา เพราะฉะนั้นความเสมอภาค ที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน ก็คือการทำให้ทุกคนไม่ว่าจะยาก ดี มี จน ควรได้รับโอกาส เข้าสู่ห่วงโซ่ อย่างเท่าเทียมกัน โดยเริ่มจากทำให้สามารถอยู่รอดอย่างพอเพียง และยั่งยืน ได้ ในที่สุด เช่น มาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อย ที่ได้กล่าวไปแล้ว ขณะเดียวกัน ก็ใช้งบประมาณในการดูแลกลุ่มอื่นๆ ด้วย ตามความเหมาะสม
4. เกษตรกรก็ต้องเก่งเรื่องเกษตรสมัยใหม่ มิฉะนั้นจะไม่ทันโลกเขาแน่นอน เรื่องพันธุ์พืช การลดการใช้ปุ๋ยเคมี ลดการใช้ยาฆ่าแมลงลงไปตามลำดับ และบางพื้นที่อาจจะไม่ใช้เลย หรือไม่ใช้อยู่แล้วในเวลานี้ แต่ละพื้นที่มันต่างกัน เพราะที่ผ่านมาอิสระเสรี แมลง หรือโรคพืชจากนี่ก็ลามไปนั่น ตรงไหนใช้ยาใช้สารมากๆ มันก็ไม่ไป แต่มันอันตรายแก่คน
ฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนไปทำเกษตรอินทรีย์กันบ้าง ตามทิศทางของโลก อีกทั้งยังต้องมีความรู้เรื่องการบริหารจัดการน้ำ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง ปัจจัยอื่นๆ อาทิ ลมฟ้าอากาศ สำหรับการเพาะปลูกพืช ได้อย่างเหมาะสม
5. อุตสาหกรรม ก็ต้องผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อ และตลาด อย่าไปคิดว่าจะทำนี่แล้วจะขายดี ต้องไปหาการตลาดให้ได้นะ ให้ชัดเจนขึ้นทั้งตลาดภายใน และภายนอกประเทศสามารถแข่งขันได้ ขณะเดียวกัน ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น
6. การท่องเที่ยว และบริการ เราต้องให้ความสำคัญในเรื่องความน่าเชื่อถือ ว่ามาเที่ยวบ้านเราแล้วเป็นยังไง ปลอดภัย นอกจากสนุกแล้วยังต้องปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินด้วย ให้เกิดความประทับใจ ให้เขากลับมาเยือนบ้านเมืองเรา อีกหลายๆครั้ง ทั้งนี้ เพื่อให้มีการกระจายได้ลงสู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึง ให้มากที่สุด เพราะทุกคนก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้มาในเรื่องของที่พัก อาหาร เรือ ที่พัก เรื่องขนส่ง
7. การสร้างตลาดประชารัฐประเภทต่างๆ รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ เราจะต้องไปรวบรวมข้อมูล เดิมมันอยู่ที่ไหนบ้างแล้วจะพัฒนาอย่างไร ไม่ใช่สร้างไปแล้วไม่มีคนขาย ไม่มีคนซื้อ เราต้องสร้างให้ครอบคลุม มีหลายประเภทด้วยกัน กำลังดำเนินการอยู่ กระจายทุกพื้นที่ ให้มีสินค้าที่หลากหลาย มีคุณภาพ เป็นสินค้าเพื่อสุขภาพ สมุนไพร คือเป็นตลาดที่เราส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการปลูกพืช เอามาตรงนี้ จะได้มีตลาดขายของเขา ไม่งั้นเขาก็จะบอกว่าเขามาเข้าตลาดกลางไม่ได้ เดิมที่มีอยู่ เพราะมีสินค้าเต็มอยู่แล้ว เราก็ไปคัดแยกออกมา มาขายตรงนี้ ประชาชนก็เอาเข้ามาขายเอง หรือมีคนรวมมาก็แล้วแต่ แต่ขอให้เป็นกลไกของภาคประชารัฐทำ มันจะได้ชัดเจนขึ้น ได้มีสินค้าชุมชน สินค้าสุขภาพ สินค้าสมุนไพร นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อจะเปิดช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกร สินค้าโอทอปต่างๆ ที่เรามีมากมาย ให้มันกว้างขวางขึ้น มันก็จะเพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอีกด้วย
สำหรับเรื่องที่ 8 ในเรื่องกลุ่มผู้มีรายได้สูง หรือผู้ประกอบการธุรกิจขนาดใหญ่ การเสียสละ การเกื้อกูลไปสู่ผู้มีรายได้น้อย อันนี้เป็นสิ่งที่ควรกระทำ เราจะต้องเพิ่มการกระจายรายได้ จะต้องอยู่บนพื้นฐานให้ทุกคนให้เกิดความพอใจ คนไทยพอใจ บริษัทของท่านก็มีชื่อเสียง มีกุศล ได้รับกุศลผลบุญที่ได้ทำไว้ ด้วยความเต็มใจของท่าน อันนี้ก็ขอให้ทุกคนได้ช่วยกัน รัฐบาลก็ได้ขอให้หลายภาคเอกชนเข้ามาช่วยตามกำลังความสามารถ ผมก็ขอบคุณนะครับ หลายๆ กลุ่ม หลายบริษัทก็เข้ามาร่วม หลายบริษัทก็ยังไม่มา เราก็มีตั้งจำนวนมาก ก็ขอให้มาช่วยกันก็แล้วกัน ถ้าช่วยกันคนละเล็กละน้อย มันก็ดีเอง ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเราไม่ได้เป็นการทำเพื่อเอื้อประโยชน์ เพราะฉะนั้นท่านก็ต้องลดราคาของลง เพื่อให้คนที่เขามีรายได้น้อยเข้าถึงได้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาก็จะบอกว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพราะฉะนั้นรายใหญ่ก็ต้องมาแสดงตัว แสดงสิ่งที่จะทำให้เกิดประโยชน์โดยรวมให้ได้ ให้สังคมเข้าใจ
วันนี้ก็เป็นเพียงระยะแรกเท่านั้น ก็ต้องเร่งให้เร็วขึ้น วันหน้าเราต้องเร่งให้กลุ่มฐานราก หรือกลุ่มประชาชน ประชารัฐ เข้มแข็งขึ้นอีกช่องทางหนึ่ง ทั้งการเพาะปลูก การผลิต การแปรรูป หรือการทำอะไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ครบวงจร
เรื่องที่ 9 ในส่วนของภาครัฐ การกำหนดนโยบายสาธารณะ มันก็จำเป็นต้องมี เพื่อจะดูแลพี่น้องประชาชนและขับเคลื่อนประเทศ โดยจะต้องมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนตามปัจจัยหรือบริบทภายใน/ภายนอกได้ แต่เราต้องคำนึงถึงหลักการและเป้าหมายที่จะมุ่งสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติโดยรวม ต้องทำต่อเนื่อง และไม่เป็นปัญหาด้านงบประมาณ รวมไปถึงการปรับปรุงระบบภาษี ไม่ได้หมายความว่ามุ่งหมายจะไปเก็บภาษีใคร แต่เราต้องปรับภาษีให้เป็นธรรม คนมีรายได้มาก กับรายได้น้อย จะเป็นอย่างไร ทำอย่างไรจะไม่มีผลกระทบ ให้เกิดความพึงพอใจ เกิดความเป็นธรรมได้ทั่วถึง เรื่องนี้เราคงต้องศึกษารายละเอียดกันต่อไป
เรื่องที่ 10 เรื่องกองทุนแห่งรัฐ เราจะต้องมีการพัฒนาในทุกกิจกรรม ให้สอดคล้องกับความต้องการ เช่น การศึกษา สาธารณสุข ซึ่งก็ยังไม่สมบูรณ์นัก ให้มีการพัฒนา มีการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและทั่วถึง
ปัจจุบันนั้น เราต้องยอมรับว่ามีแรงงานและมีประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่มีการศึกษาค่อนข้างต่ำ หรือไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษามาเลย ด้วยความจำเป็นในการดำรงชีวิต โอกาสเขาไม่เท่าเทียมกัน วันนี้เขาต้องออกมาทำงานกลางคัน ไม่มีการศึกษาต่อ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ก็น้อยลง ทำงานตามหน้าที่ ตามความชำนาญไปเรื่อยๆ รายได้ก็อยู่เท่านั้นล่ะ เพราะฉะนั้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 นั้น เราต้องพยายามเน้นให้คนของเรามีหลักคิด มีสามัญสำนึก มีความคิดสร้างสรรค์ที่ถูกต้องเหมาะสม มีความคิดที่จะพัฒนาตนเอง เป็นพลเมืองดี มีคุณภาพในสังคม ถ้าเรียกร้องแล้วไม่พัฒนามันก็ลำบากที่จะได้อะไรกลับมาง่ายๆ ในวันนี้และวันหน้า รวมถึงเราจะต้องสามารถสร้างงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับประเทศได้ด้วย
เรื่องที่ 11 ในด้านการบริการสังคม ภาครัฐนั้นจำเป็นต้องมีการจัดทำระบบบรรเทาสาธารณภัย ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ฝนแล้ง อย่างเหมาะสม เป็นขั้นเป็นตอน สิ่งที่ทำง่ายๆ วันนี้คือเราจะทำอย่างไรจากสิ่งกีดขวางทางน้ำธรรมชาติที่มันมีอยู่ในปัจจุบัน เพราะว่าผังเมืองบางทีก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเต็มที่ มีการสร้างถนน เส้นทาง บ้านพัก หมู่บ้าน ที่พักอาศัยใหม่ๆ เกิดขึ้นมาจำนวนมาก ขวางเส้นทางน้ำทั้งสิ้น ถ้าไปรื้อออกมา จะทำได้ไหม เพราะฉะนั้นก็ขอให้ทุกคนได้ช่วยกันคิดในเรื่องเหล่านี้ ผมก็เพียงแต่อยากให้ทุกคนได้คิดเป็น คิดใหม่นะ หลายๆ คนอาจจะลืมคิดไป
ปัญหาเหล่านี้ต้องการความร่วมมือร่วมใจ มันจะแก้ไขได้ เราต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันเรื่องเหล่านี้ให้มากที่สุด แม้จะเป็นการยาก ในเรื่องของน้ำท่วม ฝนแล้ง เหล่านี้ มันป้องกันไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะมันขึ้นอยู่กับธรรมชาติ แต่เราต้องลดการสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน ลงให้เหลือน้อยที่สุด โดยการทำสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นมาให้ได้บ้างในที่ดินที่ประชาชนเป็นเจ้าของทั้งหมดนี่ล่ะ จะทำอย่างไร ก็ต้องหารือ ช่วยกัน
เรื่องที่ 12 การผลักดันงานเฉพาะด้านต่างๆ เหล่านี้ เราจะต้องการระบบบริหารจัดการที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ รัฐบาลก็ปรับมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องของวิธีการ ในเรื่องขององค์กร ในเรื่องบุคลากร ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมายต่างๆ หลายร้อยฉบับ ที่กำหนดขึ้นนั้น ผมก็บอกไปแล้วว่าเราจะต้องสร้างประโยชน์แก่ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ให้ได้อย่างเหมาะสม ไม่ใช่มีบทกำหนดโทษที่รุนแรงอย่างเดียว มันต้องมีกฎหมายที่ทำให้ประชาชนเกิดความร่วมมือให้ได้ด้วย ให้เป็นธรรม อย่าคิดว่ามาตรการจะใช้กฎหมายได้อย่างเดียว มันต้องอาศัยความร่วมมือด้วย เพราะฉะนั้นกฎหมายต้องเป็นแบบนี้ เราต้องทำกฎหมายที่เกื้อกูล ไม่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจอย่างเป็นธรรม ไม่ทุจริต กิจกรรม แผนงาน โครงการที่ดี ไม่มีปัญหาของรัฐบาลก็ต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงระบบงบประมาณของประเทศไปด้วย เราต้องพิจารณาให้เหมาะสม
ทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวคิดของนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ที่ต้องการจะสื่อสารให้คนไทยทุกคน ทุกกลุ่ม ได้ร่วมกันแสวงหาทางออกให้กับประเทศของเรา ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตลอดไป ไม่อยากให้เข้าใจกันผิดๆ พลาดๆ กันต่อไปอีก วันหน้ามันจะอันตรายนะครับ
สุดท้ายนี้ ก็ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน มีอีกหลายเรื่องที่เราต้องร่วมกัน การศึกษา ประกันสุขภาพ สาธารณสุข การแก้ไขปัญหาขยะอุดตัน ต้องแก้วันนี้เลยนะครับ ช่วยกัน ดูเรื่องการทิ้งขยะ การแยกขยะตั้งแต่ต้นทางด้วย การจราจรติดขัด เห็นแก่ตัว ไม่เคารพกฎจราจร มันแก้ได้ทันทีนะพวกนี้ มันอาจจะดีขึ้น การใช้ที่ดิน การบริหารจัดการน้ำ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมในการทำการเกษตรและอุตสาหกรรม เกษตรแผนใหม่ จะต้องทำทุกอย่างให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เรามีต้นทุนไม่มากนัก การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากมายที่เราต้องแก้ไขปรับปรุง ทั้งคมนาคมขนส่ง การสื่อสาร สารสนเทศ และอื่นๆ ความมั่นคงด้านพลังงาน การแสวงหาแหล่งพลังงานทางเลือกที่เหมาะสม การจัดระบบ ยกระดับรัฐวิสาหกิจใหม่ๆ เหล่านี้เป็นต้น
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการปฏิรูปก็คือ เราต้องเริ่มที่ตนเอง ใจตัวเองก่อน แล้วก็ครอบครัวเสมอ กลุ่มต่างๆ ทั้งเด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ปัญญาชนทั้งหลาย ก็ต้องขอความร่วมมือให้ช่วยกันทำความเข้าใจกันอย่างทั่วถึงด้วย เพราะเป็นอนาคตของประเทศเรา รายละเอียดการปฏิรูปที่เกริ่นไว้ผมก็จะขอนำมาคุยกับพี่น้องประชาชนในครั้งต่อๆ ไปด้วย
สัปดาห์หน้านั้น เป็นห้วงเวลาประวัติศาสตร์ของประเทศ มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับปวงชนชาวไทยทุกคน รายการจะร่วมแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ความจงรักภักดี แด่พ่อหลวงของเราทุกคน ร่วมกันคิดดี พูดดี ทำดี นำเรื่องราวดีๆ ของพ่อ พระราชาผู้ทรงธรรม มาเล่าสู่กันฟัง พร้อมทั้งน้อมนำไปสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งร่วมกันน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยอย่างสมพระเกียรติสูงสุด ให้สมดังที่พวกเราทุกคนเป็นข้ารองพระบาทในหลวง รัชกาลที่ ๙ และเป็นลูกที่ดีของพ่อตลอดไป
ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนระลึกถึงคำพ่อสอน ร่วมกันทำดีเพื่อพ่อ และขอให้มีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ