โครงการปรับปรุงซ่อมแซม “วังสราญรมย์” ของกระทรวงการต่างประเทศ ยังคงเดินหน้าต่อไป หลังรัฐบาล คสช.ไฟเขียวก่อหนี้ผูกพันงบปี 2556 จากปัญหาความล่าช้าถึง 18 ปี เผยโครงการริเริ่มตั้งแต่ปี 2542 เพิ่มงบประมาณ ปี 2549 ขยายวงเงิน-ขยายเวลาก่อหนี้ ส่วนปี 2553 รมต.สั่งระงับการว่าจ้างการตกแต่ง หลังพบปัญหาน้ำรั่วทำให้ความล่าช้า แม้ครบอายุงานในปี 2553 เผยล่าสุดรัฐบาลลุงตู่ไฟเขียวขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันแล้ว 3 รอบ
วันนี้ (30 ก.ย.) มีรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศ ว่าเมื่อเร็วๆ นี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นตามที่นายสมคิด จาตุรศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงการต่างประเทศ เสนอขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2556 (โครงการปรับปรุงวังสราญรมย์) วงเงิน 200 ล้านบาท
โดยจากข้อมูลเดิมโครงการนี้ จากมติคณะรัฐมนตรี ปี 2542-2549 ถึงปัจจุบัน 2560 ในระยะเวลา 18 ปี ที่รัฐบาลสมัยนั้นเห็นชอบโครงการบูรณะและซ่อมแซม รวมถึงรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ในบริเวณพระราชวังสราญรมย์ทั้งหมด มีการสำรวจขุดค้นทางโบราณคดีและสถาปัตยกรรม มีวัตถุประสงค์ค้นหาหลักฐานของอาคารและสวนประวัติศาสตร์ในส่วนที่ถูกรื้อถอน ตรวจสอบระดับและรูปแบบทีมีผลต่อการออกแบบบูรณะ และตรวจสอบหลักฐานทางโบราณคดี ยุคก่อนสร้างวังสราญรมย์ ส่วนงานออกแบบบูรณะปฏิสังขรณ์ มีวัตถุประสงค์ สร้างอาคารใหม่และซ่อมแซมบูรณะอาคารเก่าให้รองรับการใช้งานของกระทรวงการต่างประเทศ และช่วยเสริมสร้างภูมิทัศน์ที่สวยงามต่อพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ โดยมี บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะเป็นผู้รับเหมาโครงการ
“ปัญหาความล่าช้าหนึ่งในนั้นเพราะการบูรณะพระราชวังเก่าเป็นงานที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ค่อนข้างมาก ทั้งการสำรวจทางโบราณคดี การขออนุมัติหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามแผนการปรับปรุงและบูรณะต่างๆ ขณะที่รายละเอียดในการบูรณะพระราชวังก็จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเป็นกรณีพิเศษมาคอยดูแล รวมทั้งมีการปรับปรุงแก้ไขแบบในการก่อสร้าง ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงบริษัทที่เข้ามารับงานต่างๆ ตลอด 18 ปี”
วันที่ 5 มกราคม 2542 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยุคนายชวน หลีกภัย มีนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็น รมว.ต่างประเทศ มีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินโครงการบูรณะ และซ่อมแซมพระราชวังสราญรมย์ในวงเงิน 160 ล้านบาท จากนั้นจึงได้มีการรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ในบริเวณพระราชวังสราญรมย์ทั้งหมด ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการเกาะรัตนโกสินทร์ และกรมศิลปากร และมีการจัดจ้างบริษัท นอร์ทเทิร์นซัน จำกัด สำรวจโบราณคดีเบื้องต้น และจ้างบริษัท สโตนเฮนจ์ ดีไซน์ แอนด์ คอนซัลแทนต์ จำกัด เขียนแบบอาคารทิศตะวันออก เพื่อสร้างทดแทนอาคารเดิมที่ถูกรื้อถอน และจัดจ้างให้บริษัท ยุวากรณ์ศุภภัณฑ์ รับเหมาก่อสร้างอาคารหลังใหม่
ปี 2549 ครม.อนุมัติขยายขอบเขตโครงการปรับปรุงซ่อมแซมเพื่ออนุรักษ์พระราชวังสราญรมย์ ในวงเงิน 330 ล้านบาท โดยให้ครอบคลุมการซ่อมแซมอาคารพระราชวังสราญรมย์หลังเดิม รวมทั้งการสร้างพื้นที่จอดรถยนต์และระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน ตลอดจนปรับปรุงภูมิทัศน์และบูรณะหลักฐานทางโบราณคดี การตกแต่งภายในและพื้นที่จัดแสดงพิพิธภัณฑ์ ต่อมาได้อนุมัติขยายวงเงินเป็น 543 ล้านบาท และขยายเวลาผูกพันงบประมาณเป็นปี 2547-2550 พร้อมทั้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้างอาคารหลังใหม่จาก 2 ชั้นเป็น 3 ชั้น
วันที่ 30 พฤษภาคม 2549 มีการลงนามในสัญญาจัดจ้างกิจการร่วมค้าสโตนเฮนจ์ กุฎาคาร เป็นผู้ออกแบบโครงการปรับปรุงซ่อมแซม เพื่อการบูรณะพระราชวังสราญรมย์ (อาคารเก่า) และก่อสร้างอาคารใหม่ 3 ชั้น แต่หลังคณะกรรมการจัดจ้างดำเนินการจัดหาผู้รับจ้าง ปรากฏว่าผู้เสนอราคาทั้ง 3 ราย มีการเสนอราคาสูงกว่างบประมาณที่มีอยู่ จึงขออนุมัติเปลี่ยนแปลงขยายวงเงิน ทำให้ ครม.อนุมัติเปลี่ยนแปลงขยายวงเงินงบประมาณเป็น 637,746,000 บาท และขยายระยะผูกพันงบประมาณเป็นปี 2547-2553
วันที่ 23 กันยายน 2551 (ในงบประมาณรายจ่ายปี 2551 มีการระบุ งบประมาณให้แก่โครงการปรับปรุงวังสราญรมย์ วงเงิน 29,892,000 บาท เป็นงบลงทุนค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ค่าปรับปรุงอาคารที่ทำการและสิ่งก่อสร้าง) กระทรวงการต่างประเทศได้ลงนามในสัญญาจ้างบริษัท คริสเตียนี และนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเสนอราคาต่ำที่สุดเป็นผู้บูรณะและก่อสร้างโครงสร้างอาคาร (ไม่รวมตกแต่งภายใน) ต่อมาบริษัทได้ขอสงวนสิทธิการขอขยายระยะเวลาปฏิบัติงานตามสัญญา เนื่องจากเกิดความล่าช้าในการพิจารณาอนุมัติแบบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันที่ 3 มิถุนายน 2553 มีการอนุมัติงบประมาณปรับปรุงวังสราญรมย์ จำนวน 212.243 ล้านบาท แต่เกิดความล่าช้าทั้งแบบงานปรับปรุงภูมิทัศน์ ไม่ผ่านความเห็นชอบและการอนุมัติจากกรรมการวิชาการกรมศิลปากร รวมถึงการที่รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินในเขต กทม. จึงได้อนุมัติให้ขยายระยะเวลาสิ้นสุดสัญญาเป็นวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 ตามข้อเสนอของผู้ควบคุมงาน บริษัทได้มีหนังสือส่งมอบงาน (ซึ่งยังเหลืองานตกแต่งภายใน)
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2554 คณะกรรมการได้ตรวจรับโครงการ แต่จากปัญหาการรั่วซึมของน้ำฝน ส่งผลต่อพระราชวังสราญรมย์อย่างหนักในช่วงหลังจากที่มีการตรวจรับงานแล้ว โดยเฉพะในแง่โครงสร้างที่ทำให้เกิดการรั่วซึม จนต้องหาสาเหตุและหาทางแก้ไขไม่ให้น้ำไหลรั่วซึมเข้ามาในอาคาร นอกจากนั้นยังพบการประกอบบัวกำแพง บัวพื้น ไม่สมบูรณ์ และมีอุปกรณ์บางส่วนที่เป็นของเก่าสูญหายไป
วันที่ 24 กรกฎาคม 2555 นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปตรวจสอบโครงการบูรณะและซ่อมแซมพระราชวังสราญรมย์ พบว่าการก่อสร้างของผู้รับเหมาไม่เรียบร้อย มีการรั่วไหลซึมของน้ำฝนจนทำให้ผนังได้รับความเสียหาย ขณะที่งานโครงสร้างภายในดูเหมือนยังค้างคาไม่แล้วเสร็จ จึงขอให้ระงับการว่าจ้างการตกแต่งภายในตามที่มีการขออนุมัติงบประมาณเอาไว้ก่อน เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตรวจสอบให้เกิดความถูกต้อง
วันที่ 27 สิงหาคม 2555 กระทรวงการต่างประเทศได้แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามการดำเนินโครงการบูรณะซ่อมแซมและก่อสร้างพระราชวังสราญรมย์ โดยมีนายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธาน มีการลงสำรวจพื้นที่ไปแล้ว 3 ครั้ง และประชุมหารือร่วมกับบริษัทที่ปรึกษา และบริษัทผู้รับเหมาไปแล้ว 1 ครั้ง
ระหว่างปี 2556-2557 โครงการบูรณะซ่อมแซมและก่อสร้างพระราชวังสราญรมย์ มีการปรับปรุงรายละเอียดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ มีการเสนอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณ รวมถึงมีการรายงานความคืบหน้าจากคณะกรรมการติดตามความคืบหน้าโครงการบูรณะและซ่อมแซมพระราชวังสราญรมย์ ต่อรัฐบาล
วันที่ 30 กันยายน 2558 ครม.เห็นชอบหลักเกณฑ์การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณ พ.ศ. 2555-2557 ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี โดยมีการขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันฯ ปี 2556 โครงการปรับปรุงวังสราญรมย์ จำนวน 200 ล้านบาท
วันที่ 22 ธันวาคม 2558 ครม.เห็นชอบขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณ พ.ศ. 2555-2557 ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี โดยมีการขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันฯ ปี 2556 โครงการปรับปรุงวังสราญรมย์ จำนวน 200 ล้านบาท
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 ครม.เห็นชอบขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณ พ.ศ. 2555-2557 ให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2559 เท่านั้น
วันที่ 4 ตุลาคม 2559 ครม.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 และปี พ.ศ. 2557 กรณีการจัดซื้ออาคารที่ทำการคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก แห่งใหม่ และกรณีโครงการปรับปรุงวังสราญรมย์ จำนวน 7 รายการ วงเงิน 537,803,817.67 บาท โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการดำเนินการและแผนการเบิกจ่ายงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีดังกล่าวให้ชัดเจน เพื่อการติดตามและเร่งรัดการดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 (เรื่องการเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
ล่าสุด วันที่ 26 กันยายน 2560 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 (โครงการปรับปรุงวังสราญรมย์) ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กำกับดูแลกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอในวงเงิน 200 ล้านบาท