xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” ชี้จุดอ่อนคดี 7 ตุลาฯ ป.ป.ช.ใหม่เอียง-ไม่ใช้ทนายพันธมิตรฯ เตรียมจี้ให้อุทธรณ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


อดีตโฆษกพันธมิตรฯ ชี้ จุดอ่อนคดี 7 ตุลาฯ ป.ป.ช. ชุดใหม่มีใจเอนเอียงส่อถอนฟ้องตั้งแต่เริ่มเข้ามา เหตุประธานมีสายสัมพันธ์จำเลย แถมใช้ทนายจากสภาทนายความ ไม่รู้เหตุการณ์ หรือมีพยานหลักฐานมากเท่าทนายพันธมิตรฯ ขณะอัยการขอว่าความให้จำเลย เตรียมยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. จี้ให้อุทธรณ์

วันนี้ (2 ส.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวผ่านรายการ News Hour ทางสถานีโทรทัศน์ NEWS1 กรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกฟ้องคดี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพวก สลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยมิชอบ ว่า พวกเราพันธมิตรฯ ทุกคนยังคงซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ที่ได้เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพ นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ น้องโบว์ เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของพวกเรา เมื่อทรงมีพระราชดำรัสกับครอบครัวของน้องโบว์ ว่า เป็นเด็กดี ที่ช่วยชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า วันนี้ พันธมิตรฯ หลายคนมีความรู้สึกไปต่างๆ นานา ขอไม่กล่าวถึงคำพิพากษาที่จะเสี่ยงต่อการละเมิดอำนาจศาล แต่อยากจะขอลำดับความ ว่า กรณีนี้เป็นกรณีที่พันธมิตรฯ บางท่านไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะเห็นว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีโทษทางอาญา กรณีที่สลายการชุมนุม อีกด้านหนึ่งมีการฟ้องต่อศาลปกครองกลางว่ามีผู้กระทำความผิด ทำให้ประชาชนได้รับความเสียหาย เพราะเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง ซึ่งในส่วนของคดีทางอาญา ประชาชนไม่สามารถฟ้องเอาผิดได้โดยตรง นอกจากผ่าน ป.ป.ช. คดีศาลปกครองนั้น มีคำพิพากษาแล้ว ว่าเจ้าหน้าที่มีความผิดจริง กระทำเกินกว่าเหตุ และต้องปรับด้วย เพียงแต่ขณะนี้ยังรอคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด

ส่วนคดีความอาญา เมื่อเรายื่นต่อ ป.ป.ช. ชุดเดิมได้ดำเนินการสอบสวนและชี้มูลความผิด นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพวก ที่ได้ทำการสลายการชุมนุม โดยอ้างอิงจากหลายเหตุการณ์ มีคนบาดเจ็บล้มตาย มีรายงานจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีการใช้ความรุนแรงตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นเหตุการณ์ไม่เคยหยุด เป็นการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ไม่ทำตามหลักมาตรฐานสากล เมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลส่งอัยการ แต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง จึงมีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง ป.ป.ช. กับอัยการ แต่อัยการก็สั่งไม่ฟ้องอีก ป.ป.ช. จึงฟ้องเอง โดยใช้ทนายความจากสภาทนายความ

ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ เพราะทนายความจากสภาทนายความไม่ใช่ทนายของพันธมิตรฯ โดยตรง ซึ่งไม่ได้รู้จัก หรือมีหลักฐานพยานมากเท่าทนายของพันธมิตรฯ ความเข้มข้น ความผูกพัน ก็มีไม่มากเท่าทนายพันธมิตรฯ เมื่อกระบวนการผ่านไป เราไม่สามารถเข้าไปซักค้าน หรือเป็นพยานเองได้ แล้วแต่เขาจะเรียกเข้าไป

เมื่อมีการเปลี่ยน ป.ป.ช. ชุดใหม่ ก็มีจิตใจโอนเอียงที่จะมีการถอนฟ้อง ประธาน ป.ป.ช. มีสายสัมพันธ์กับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก็เป็นที่รู้กันอยู่ ดังนั้น จึงเคยมีความพยายามถอนฟ้อง ยิ่งกว่านั้น อัยการก็เคยแสดงท่าทีจะเป็นทนายแก้ต่างให้จำเลย คือ นายสมชาย และพวก เห็นได้ว่า ทั้ง ป.ป.ช. และอัยการ ไม่มีจิตใจความคิดที่จะยืนอยู่ข้างภาคประชาชนพันธมิตรฯ เหมือน ป.ป.ช. ชุดเดิม มันจึงเป็นความอ่อนแอที่จะไปฟ้องต่อ และการอาศัยทนายจากสภาทนายความ การที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดี จึงค่อนข้างทิ้งระยะห่าง เพราะเราไม่มีส่วนเข้าไปโดยตรง

เมื่อศาลตัดสินออกมาเช่นนี้ เราได้แต่ขออ้อนวอนให้ ป.ป.ช. ยื่นอุทธรณ์ แต่เราก็เป็นห่วงว่า ป.ป.ช. จะยื่นหรือไม่ เพราะความผูกพันของ ป.ป.ช. ชุดนี้ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ทำให้เราเป็นห่วง แต่เราจะทำให้ดีที่สุด

“ผมมีความเห็นว่า อดีตแกนนำพันธมิตรฯ หรือคนที่ยื่นฟ้อง ควรจะอาศัยสิทธิ ตามหน้าที่ไปยื่นต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้อุทธรณ์ ตามประเด็นที่คุณสุริยะใส กตะศิลาพูด และทนายความที่จะพูดถึงกรอบต่อไปในอนาคต เพื่อยื่นอุทธรณ์ แล้วผลเป็นอย่างไร ก็ต้องดำเนินการ เพื่อให้ได้ชื่อว่าเราได้ทำสุดความสามารถ เราต้องดำเนินการในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยในส่วนของคดีอาญาเราจะทำให้ดีที่สุด” นายปานเทพ กล่าว และว่า ส่วนคดีศาลปกครอง เราชนะแล้วในชั้นศาลปกครองกลาง โดยฝีมือทนายของเรา ก็ต้องไปว่ากันในชั้นศาลปกครองสูงสุดอีกที เรายังคาดหวังในความยุติธรรมของศาล เราจะทำให้ถึงที่สุด ไม่ควรจะยอมแพ้ วันใดก็ตามที่เราไปยื่น ใครจะไปร่วมกิจกรรมครั้งนั้น ก็ขอเรียนเชิญ
กำลังโหลดความคิดเห็น