กกต.ประกาศ พร้อมจัดเลือกตั้ง "สมชัย" วิเคราะห์ 3 ภาพอนาคตกกต. เชื่อสนช.ให้อยู่ครบวาระเหตุกลัวยึดคุณสมบัติตามรธน.ใหม่ ทำต้องใช้กับทุกองค์กรอิสระส่งผลระบบตรวจสอบเดดล็อค คดีทุจริตขาดอายุความเสียหายทั้งประเทศ ปัดตอบ 4 คำถามนายกฯ เชื่อแค่โยนหินถามทาง หวังประชาชนฉุกคิด
วันนี้ (1มิ.ย.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต) จัดเสวนา "เดินหน้าเลือกตั้งกับกกต." โดยมีนายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต.พร้อมด้วย นายบุญส่ง น้อยโสภณ นายประวิช รัตนเพียร นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการกกต.ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานกกต. เข้าร่วม
โดยนายศุภชัย กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเตรียมการเลือกตั้งเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่มีผลใช้บังคับแล้ว หลังจากนี้ทุกภาคส่วนจะต้องขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวสู่ประชาธิปไตยอย่างราบรื่นและมั่นใจ กกต.มีบทบาทสำคัญที่จะต้องจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความสุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ ซึ่งกกต.ยึดหลักการทำงานตามแนวทางนี้มา 3 ปีกว่าแล้ว โดยได้เตรียมความพร้อมในการจัดการเลือกตั้ง ภายใต้ แนวคิด ทุกเสียงมีสิทธิ์ สุจริตเที่ยงธรรม นำประชาธิปไตยคุณภาพ เร่งพัฒนาระบบให้ทุกคนเข้าถึงการเลือกตั้งได้โดยสุจริต เช่น การอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการ ผู้สูงอายุ ขยายเวลาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง พัฒนาพรรคการเมือง ปราบปรามทุจริตเลือกตั้ง ซึ่งหนึ่งเสียงของทุกคน สามารถเปลี่ยนทุกอย่างให้บ้านเมืองดีขึ้น ใช้หนึ่งเสียงของทุกคนเลือกคนดีมาบริหารบ้านเมือง
ด้านนายบุญส่ง กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญใหม่ กกต.มีอำนาจเพิ่มขึ้นหลายอย่าง นอกเหนือจากอำนาจในการสั่งเลือกตั้งใหม่(ใบเหลือง) อำนาจในการถอนสิทธิการเลือกตั้ง(ใบแดง) แล้วยังมีอำนาจใหม่คือ ใบส้ม แบ่งเป็น 2 แบบ คือ 1.หากพบว่าผู้สมัครหรือผู้รู้เห็นเป็นใจกับผู้สมัคร กระทำการทุจริตเลือกตั้ง กกต.สามารถเพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งได้ 1 ปี และ 2.กรณีที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตนั้นๆ ได้คะแนนน้อยกว่าโหวตโน กกต.มีอำนาจสั่งเลือกตั้งใหม่ โดยที่ผู้สมัครรายเดิมไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีก รวมทั้งยังมีอำนาจเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต(ใบดำ) กับผู้ที่ทุจริตอีกด้วย
ส่วนอำนาจกกต.ในการสืบสวนสอบสวน กกต.หรือ ผู้รับมอบอำนาจจากกกต. มีอำนาจเป็นเจ้าพนักงานปกครอง พนักงานสอบสวน ที่เปรียบเสมือนตำรวจทุกอย่าง สามารถจัดตั้งงบประมานในการหาข่าว ให้รางวัลน้ำจับแก่ผู้ชี้เบาะแส มีมาตราการในการคุ้มครองพยานและกันบุคคลไว้เป็นพยาน และมีอำนาจส่งสำนวนการสืบสวนหรือไต่สวนไปยังพนักงานอัยการ เพื่อฟ้องคดี โดยไม่ต้องผ่านพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุ
ด้านนายสมชัย กล่าวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนับจากนี้ว่าแบ่งเป็น 3 ภาพ 1.เลวร้ายสุด 2.ดีที่สุด 3.น่าจะเป็นไปได้ โดยภาพแรก ฟังแล้วทานข้าวไม่ลง กกต.จะใจเสีย เพราะในวันที่ 9มิ.ย.นี้ หากสนช. ยืนตามร่างกรธ. หมายความว่าจะมีกกต.ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญใหม่ ถ้าเป็นอย่างนี้ หากกฎหมายประกาศในราชกิจจานุเบกษา ช่วงกลางเดือนมิ.ย. 15 วันนับจากนั้น ต้องตั้งกรรมการสรรหา และอีก 15 วันต่อมากกต.ต้องยื่นเอกสารให้คณะกรรมการสรรหาพิจารณาคุณสมบัติตามรัฐธรรนูญ ซึ่งน่าจะประมาณวันที่ 15 ก.ค. นายประวิช รัตนเพียร กกต. จะไปคนที่หนึ่ง ไม่จำเป็นต้องยื่นหลักฐาน เพราะเคยเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินและพ้นจากการเมืองมายังไม่ถึง 10 ปี มีหลักฐานชัดเจนแล้ว
ส่วนตนต้องยื่นหลักฐานการทำงานภาคประชาสังคมไม่น้อยกว่า 20 ปีให้คณะกรรมการสรรหา ซึ่งก็ได้เตรียมหลักฐานการทำงานภาคประชาสังคมไว้ 21 ปี 9 เดือน หากกรรมการสรรหาไม่รับฟัง ก็จะพ้นจากตำแหน่งทันทีในวันรุ่งขึ้น และถ้าเป็นเช่นนั้นจากนั้น กกต.ก็จะเหลือ 3 คน และในเดือนก.ค.61 นายบุญส่ง หมดวาระ อายุครบ 70 ปี และเดือนก.พ.62 นายศุภชัย จะหมดวาระลง อายุครบ 70 ปีเช่นกัน ก็จะเหลือนายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ กกต.ด้านพรรคการเมือง เพียงคนเดียว แต่ถ้าหากนายธีรวัฒน์ มีอุบัติเหตุ เนื่องจากขณะนี้กำลังตรวจสอบด้านจริยธรรม ดังนั้น หากการเลือกตั้งเกิดขึ้นหลังเดือนก.พ.62 การเลือกตั้งจะอยู่ในมือกกต.ใหม่ทั้ง 7 คน
ขณะที่ภาพที่สอง ภาพดีสุด คือวันที่ 9 มิ.ย. สนช.ยึดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญเดิม ให้กกต.อยู่ต่อจนครบวาระ ก็ทำงานไป 3 ปีครึ่งส่วนภาพที่สาม ภาพที่เป็นไปได้ ประเมินส่วนตัว แต่อาจจะผิด เชื่อว่าสนช.น่าจะยึดหลักให้กกต.ดำรงตำแหน่งจนครบวาระ เพราะถ้าใช้หลักการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบกับองค์กรอิสระอื่น
"แต่หากไม่ยึดตามนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกกต.จะไม่เท่ากับองค์กรอื่น เพราะกกต.จะเหลือ 3 คน แต่ป.ป.ช.จาก 9 คน เหลือ 1 คน จะทำให้คดีขาดอายุความ สร้างความเสียหายกับประเทศ ส่วนศาลรัฐธรรมนูญจะหายไป 4-5 คน และจะมีผู้ครบวาระอีก ทำให้เหลือเพียง 1 คน ดังนั้น จะทำให้เกิดสภาวะเดดล็อคขององค์กรอิสระ ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาของกกต.องค์กรเดียวเท่านั้น จึงเป็นไปได้ว่า สนช.จะออกมาในแนวทางที่ให้อยู่ครบวาระ อย่างไรก็ตามกกต.ไม่สนใจว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไรก็จะทำงานต่อเนื่องจนนาทีสุดท้าย เพื่อเตรียมการเลือกตั้งให้ดีที่สุด"
ส่วนนายประวิช กล่าวว่า กกต.มีความพร้อม 90 เปอร์เซ็นต์ในการจัดการเลือกตั้ง ขณะนี้ทุกคนยังปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่ว่าสุดท้ายจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม รัฐธรรมนูญใหม่ ได้ให้อำนาจกกต. ในการประกาศวันเลือกตั้งเอง โดยที่ไม่ต้องถามรัฐบาล ถือเป็นการปลดล็อคเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นมาทำให้การเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.57 เป็นโมฆะ ทั้งนี้ ตนเห็นว่าวันนี้หลายอย่างเป็นจริงหมดแล้ว การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมประชาธิปไตย รด.จิดอาสา ซึ่งขณะนี้มีจำนวน 7,242 แห่งทั่วประเทศ โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท และกำลังดำเนินการให้มีกรรมการประจำหน่วย(กปน.)มืออาชีพทั่วประเทศ อย่างน้อยต้องมีหน่วย 1 คนที่เป็นมืออาชีพ รวมถึงกำลังพยายามทำหมู่บ้านไม่ขายเสียง โดยจะทำให้ได้ประมาณ800-900 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี ส่วนเรื่องปัญหาคุณสมบัติกกต.นั้น ยืนยันว่าไม่ว่ากฎหมายจะออกมาอย่างไรก็ตามส่วนตัวจะเดินหน้าทำงานจนวินาทีสุดท้าย
เมื่อถามว่า กกต.จะทำอย่างไรให้การเลือกตั้งได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลตามคำถาม4ข้อของนายกฯนายสมชัยกล่าวว่า ให้ประชาชนเป็นผู้ตอบคำถามนี้ แต่ไม่อยากให้ตื่นเต้นกับคำถาม เพราะนายกฯเพียงแค่ต้องการให้ประชาชนฉุกคิด ถ้าฉุกคิดแล้วในการเลือกตั้งท้ายที่สุดแล้วจะได้คนดี ได้พรรคดีมาบริหารบ้านเมือง
ทั้งนี้นายสมชัย ยังได้แสดงความกังวลต่อเนื้อหาร่างพ.ร.ป.กกต.ในส่วนที่จะให้มีผู้ตรวจการเลือกตั้งแทนกกต.จังหวัด เนื่องจากคุณสมบัติผู้ตรวจการเลือกตั้ง จะเป็นข้าราชการประจำไม่ได้ ต่างจาก กกต.จังหวัดเดิมที่เป็นข้าราชการประจำ ส่วนการได้มาซึ่งผู้ตรวจการเลือกตั้ง ที่แม้จะให้มีการรับสมัครในจังหวัดแต่ต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ในทุกจังหวัด ทำให้ไม่อาจชินพื้นที่ได้ จนกลายเป็นปัญหาการทำหน้าที่ แต่ทั้งนี้หากเกิดปัญหาการทำหน้าที่ กกต.ส่วนกลางก็เตรียมสนับสนุนเต็มที่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
สำหรับข้อถกเถียงเรื่องของกรอบจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 150วันหมายรวมถการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งด้วยหรือไม่นั้น ยังคงต้องรอกฤษฎีกา ก่อนว่าจะมีการตอบมาในลักษณะใด แต่กกต.มองว่า การมีเวลาเยอะก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะจะได้ทำงานสบาย แต่ก็ต้องดูเพื่อไม่ให้ผิดกฎหมาย เพราะอาจมีคนร้องว่า กกต.จัดเลือกตั้งขัดรัฐธรรมนูญ หากศาลชี้ว่าขัด ก็จะเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งจะโมฆะ งบการเลือกตั้งเสียเปล่า และกกต.ต้องรับผิดชอบ