สภาพัฒนาการเมืองจัดแสดงผลงานครบ 9 ปี “ธีรภัทร์” เผยจัดทำแผนพัฒนาการเมืองฉบับ 2 เสร็จแล้ว เตรียมชง ครม.-สนช.-สปท.ต่อ เน้นขับเคลื่อนประชาธิปไตยระดับรากฐาน ย้ำเซตซีโร่พรรคและ กกต.เป็นความเห็นจากผลสำรวจ ด้าน “สมเกียรติ ทีดีอาร์ไอ” ชี้ประชาธิปไตยมีคนแพ้และชนะต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ เชื่อปมขัดแย้งไทยมีสิทธิ์ฟื้น หนุนชาวบ้านเสนอ กม.โดยตรง แนะให้อำนาจประชาชนเข้าถึงข้อมูลของราชการ
วันนี้ (16 พ.ย.) สภาพัฒนาการเมือง จัดงาน “9 ปี สภาพัฒนาการเมือง : รวมพลังพลเมืองสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง” โดยมีผลงานที่สำคัญ เช่น จังหวัดจัดการตัวเอง ประชาธิปไตยชุมชน การจัดการทรัพยากร ธรรมาภิบาลทางการเมือง การจัดการทุจริตและผลประโยชน์ทับซ้อน การให้การศึกษาทางการเมือง การจัดการวามขัดแย้ง และสภาพลเมือง รวมไปถึงการเสนอความเห็นในสถานการณ์ต่างๆ แนวทางการสร้างความปรองดอง ข้อเสนอการปฏิรูปการเมือง และ การเสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนร่วม หรือกฎหมายเจ็ดชั่วโคตร
นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมือง ปาฐกถาเรื่อง “สภาพัฒนาการเมืองกับการขับเคลื่อนประชาธิปไตย” ว่า สภาพัฒนาการเมืองจัดทำแผนพัฒนาการเมือง ฉบับที่ 2 เสร็จแล้ว เป็นแผนระยะ 5 ปี โดยเตรียมที่จะส่งให้ ครม., สนช., สปท.ต่อไป เพื่อต่อยอดจากแผนพัฒนาการเมืองฉบับแรก ให้ความสำคัญต่อการขับเคลื่อนประชาธิปไตยในระดับรากฐาน ซึ่งแผนพัฒนาการเมืองฉบับแรกเดินมาถูกทางแล้ว ที่เน้นให้การศึกษาทางการเมืองที่มุ่งไปสู่วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ถ้าประชาชนมีวัฒนธรรมที่ประชาธิปไตย นักการเมืองที่ใช้ไม่ได้ประชาชนก็ไม่เลือก
ส่วนอนาคตของสภาพัฒนาการเมืองจะทำหน้าที่ให้ความสำคัญกับโครงสร้างส่วนล่าง หรือประชาชนต่อไปเพราะสำคัญที่สุด ขณะเดียวกันจะต้องพัฒนาโครงสร้างส่วนกลาง คือ พรรคการเมือง ระบบราชการ และสื่อมวลชนควบคู่ไปด้วย พร้อมยืนยันแนวคิดการเซตซีโร่พรรคการเมือง และ กกต.ไม่ใช่ความเห็นของสภาพัฒนาการเมือง แต่เป็นความคิดเห็นของประชาชนที่ได้ไปสำรวจความเห็นมา
ด้านนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ อภิปรายในหัวข้อ “สภาพัฒนาการเมืองกับการสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง” ว่า ประชาธิปไตยมีคุณค่าในตัวเอง แม้จะมีปัญหามาก แต่เป็นระบบที่เลวน้อยที่สุด และไม่ได้รับประกันว่าจะได้ผู้นำที่ตัวเองอย่างเห็น แต่คนแพ้จะต้องยอมรับกับกับผล ไม่เล่นนอกกติกา เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หรือการทำประชามติออกจากอียูของอังกฤษ หากไม่ยอมรับผลก็จะเกิดความแตกแยก เหมือนความขัดแย้งทางศาสนาที่เกิดขึ้นในอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ ที่ทำให้เกิดความสูญเสียมากมายมหาศาล ดังนั้นประชาธิปไตยมีคนแพ้คนชนะแต่ละช่วง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกันให้ได้ ในส่วนของประเทศไทยนั้น ความขัดแย้งสงบลง แต่อีกสักพักจะฟื้นขึ้นมาได้ ดังนั้นคนฝ่ายต่างๆ ทั้งเหลืองและแดงจะต้องเข้าใจถึงความต้องการของทั้งสองฝ่าย
นายสมเกียรติกล่าวว่า หากสังคมประชาธิปไตยไม่ชอบกับผลที่ออกมาจะต้องใช้ความเป็นประชาธิปไตยให้มากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ประชาธิปไตยทางตรง เช่น การเสนอกฎหมายโดยประชาชน ที่ผ่านมามีกฎหมายที่เสนอจากประชาชนเพียง 3 ฉบับ ถูกประกาศใช้จากจำนวนที่เสนอทั้งหมด 37 ฉบับ พร้อมกันนี้เห็นว่าสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ที่ในปัจจุบันยังราชการยังปกปิดข้อมูล ดังนั้นสภาพัฒนาการเมือง ควรที่จะร่วมผลักดันกฎหมายให้อำนาจประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในส่วนนี้เพื่อให้การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนง่ายมากขึ้น