เมืองไทย 360 องศา
อย่างที่ทราบกันดีว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ทางพนักงานอัยการโดยคณะทำงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษได้เลื่อนการสั่งคดีฟอกเงินและรับของโจรจากสหกรณ์เครดิตยูเนียน คลองจั่น ที่มี ศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนฯ และ พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ สุทธิผล) หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย กับพวกรวม 5 คน ตกเป็นผู้ต้องหา โดยเลื่อนสั่งคดีในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการสอบสวนเพิ่มเติมครบถ้วนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
แน่นอนว่า นี่คือขั้นตอนและเหตุผลในทางกฎหมายสามารถอธิบายได้ แต่หากพิจารณากันตามลำดับเวลา ก็ต้องอดกังวลไม่ได้ว่า มันมี “ความผิดปกติ” เกิดขึ้นให้เห็นเรื่อยๆ เพราะหากนับจากครั้งนี้ก็ถือว่ามีการ “เลื่อนสั่งคดีเป็นครั้งที่ 4” แล้ว
สังคมเริ่มจับตามองมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่มีการเลื่อนสั่งคดีกันครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้คดีไม่มีความคืบหน้า
ที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาทีละประเด็นเริ่มจากเรื่องที่ทางฝ่ายอัยการ ระบุว่า ต้องรอผลการสอบสวนเพิ่มเติมจากฝ่ายกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทาง พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาของดีเอสไอ ก็ได้ยืนยันว่า การทำหน้าที่ในรวบรวมหลักฐานได้ทำครบถ้วนแล้ว จนสามารถสั่งฟ้องได้แล้ว
“ผมเป็นรัฐมนตรีก็มีหน้าที่คุมแค่นโยบายเรียกอธิบดีดีเอสไอ (พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง) มาสอบถามแล้วก็ได้รับรายงานว่า ในส่วนของดีเอสไอเรียบร้อยแล้ว ประเด็นใหญ่ที่เป็นประเด็นหลักนั้น สามารถสั่งฟ้องได้แล้ว แต่ถ้าไปมองเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มนิดเพิ่มหน่อย มันไม่ใช่ปัจจัยหลักของข้อมูลที่ต้องมีหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งสามารถไปว่ากันในชั้นศาลได้”
นั่นเป็นคำพูดของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ออกมายืนยันถึงการทำหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าทำได้ครบถ้วนแล้ว
ดังนั้น เมื่อพิจารณากันแบบนี้ เหมือนกับว่าต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผล และอ้างถึงขั้นตอนทางกฎหมายที่มีอยู่ และแม้ว่าสังคมจะมองว่าต้องมีการรายการ “เตะถ่วง” อย่างแน่นอน แต่จะมาจากฝ่ายไหนนั้นเวลานี้สังคมเริ่มสงสัยมากขึ้นทุกที
ในความเป็นจริงหากพิจารณาจากรายงานข่าวเก่าๆ จะพบว่า มีการตั้งคณะกรรมการร่วมพิจารณาสำนวนจากทั้งพนักงานอัยการกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อขาดเหลืออย่างไรก็น่าจะพิจารณาหาทางออกร่วมกันเป็นการภายในเสียก่อนก็ได้ ไม่น่าจะยืดเยื้อมานานกว่า 4 เดือนแบบนี้ เพราะยิ่งเวลานานมากเท่าใดมันก็เหมือนกับมีพิรุธ สร้างความน่าเคลือบแคลงไม่เป็นผลดีกับหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดังกล่าว โดยเฉพาะการทำลายความเชื่อมั่นศรัทธาลงไปเรื่อยๆ
ประกอบกับที่ผ่านมา มีข่าวในทางลบออกมากับหน่วยงานทั้งสองฝ่าย เริ่มจากฝ่ายดีเอสไอก่อนที่มีข่าวฉาวด้านลบให้เห็นจากกรณีที่ดินพังงาผูกคอตายในห้องขังที่ถูกควบคุมตัวโดยดีเอสไอ มันก็เหมือนกับตายในอุ้งมือของดีเอสไอ รวมไปถึงข่าวการตรวจสอบพบเงินงอกในบัญชีของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ 2 คน จำนวนหลายสิบล้านบาทจากการซื้อขายที่ดินของ ศุภชัย ศรีศุภอักษร หนึ่งในผู้ต้องหาคดีร่วมกันรับของโจร และฟอกเงิน รวมไปถึงการย้ายข้าราชการระดับสูงของดีเอสไอ 3 ราย ไปประจำสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ ซึ่งมีการเปิดเผยกันต่อมาทำนองว่า “ดึงเรื่อง” คดีธัมมชโย นั่นแหละ
ขณะที่ฝ่ายอัยการบ้าง ที่ผ่านมาก็มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของคดีที่เกี่ยวข้องกับ ธัมมชโย มาแล้ว นั่นคือ การยื่นถอนฟ้องธัมมชโยกลางศาลฎีกาในคดีฉ้อโกงที่ดินวัดพระธรรมกาย เมื่อปี 2549 มาแล้วก่อนหน้าที่ศาลจะนัดอ่านคำพิพากษาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
แน่นอนว่า เรื่องราวทั้งหมดยังเป็นแค่สงสัย และมองว่า เป็นเรื่องแปลกๆ แต่ความสงสัยแบบนี้แหละหากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป หรือยิ่งรุนแรงกว่าเดิมมันก็ยิ่งอันตราย
ในทางคดีชาวบ้านก็เริ่มสงสัยว่าทำไมทางดีเอสไอ และทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติถึงไม่ร่วมกันเข้าจับกุมธัมมชโย ตามหมายจับของศาลนั่นคือหมายจับหนึ่งหมายจากคดีรับของโจร และฟอกเงิน ที่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอ และอีกหนึ่งหมายจับจากคดีบุกรุกป่าสงวนที่แยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจ ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีการจับกุม ทั้งที่รู้ว่าผู้ต้องหลบซ่อนอยู่ในวัดพระธรรมกายแบบเย้ยกฎหมาย
เมื่อไม่จับกุมหรือจับกุมไม่ได้มันก็ย่อมมีผลต่อคดี นั่นคือ ต้องมีคำอธิบายต่อศาลว่าทำไมถึงสามารถนำผู้ต้องหาหรือจำเลยมาศาลได้ ขณะเดียวกัน ในทางคดีเมื่อไม่มีผู้ต้องหา หรือผู้ต้องหายังหลบหนีก็สามารถแยกส่งฟ้องได้หรือไม่ เหมือนกับกรณีที่มีผู้ต้องหาบางคนที่ยังหลบหนี และบางคน คือ ศุภชัย ศรีศุภอักษร ถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ส่วนบางคนก็มาพบเจ้าพนักงานทุกครั้ง
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากเหตุและปัจจัยดังกล่าวมาก็ต้องบอกว่าทุกอย่างมีความกดดันเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเดิมพันกับ “ความศรัทธา” จากสังคมที่กำลังเฝ้ามองดูอย่างใกล้ชิด มองเห็นถึงความผิดปกติ ซึ่งเชื่อว่าภายในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ ตามที่มีการกำหนดวันสั่งคดีหากยังไม่ได้ข้อสรุปทางใดทางหนึ่งที่ชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่ มันก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน เพราะจะปล่อยให้มีการเลื่อนต่อไปเรื่อยๆ มันคงไม่ได้ !!