อดีต ส.ส.นครนายก ประชาธิปัตย์ จี้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ให้ กกต.ตรวจสอบคนของตัวเองไม่ให้ร่วมโกง แฉปี 54 มีหลักฐานชัดผีโผล่หน่วยเลือกตั้ง ชี้ถ้าพบผิดควรลงโทษ 2 เท่า แนะ กกต.ปฏิรูปบ้าง ควรเปิดเผยข้อมูลให้ตรวจสอบได้ ให้องค์กรเอกชนสอบการใช้อำนาจ ห้ามคนที่พ้นวาระนั่งกุนซือหรือทำงานร่วมพรรค 5 ปี เพิ่มโทษพวกค้าสำนวน เปิดบัญชีทรัพย์สิน
วันนี้ (23 ก.ย.) นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เสนอร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส.ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญว่า กกต.มีอำนาจหน้าที่มากอยู่แล้ว และกำลังแก้กฎหมายขอสิทธิใบสารพัดสีซึ่งตนไม่ขัดข้องเพราะทำงานการเมืองไม่มีเจตนาทุจริตไม่สนใจว่าโทษจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่อยากฝากไปถึง กรธ.คือ ที่ผ่านมา กกต.ประสบความล้มเหลวสองเรื่องที่ควรแก้ไขโดยขอให้ กรธ.ปรับปรุงกฎหมายที่จะเขียนขึ้นคือ 1. กกต.ต้องตรวจสอบคนของตนเองไม่ให้มีพฤติกรรมร่วมทุจริตกับพรรคการเมืองใด แต่ต้องทำหน้าที่โดยสุจริต โปร่งใส หากไปช่วยเหลือใครก็จะเป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้งไม่จบสิ้นตั้งแต่ระดับพื้นที่ไปจนถึงระดับชาติ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเคยมีการกระทำความผิดโดยเจ้าหน้าที่ของ กกต.เอง เช่น แบบ ส.ส.10 คือเอกสารที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาแสดงตัวพร้อมบัตรประชาชนเพื่อใช้สิทธิ พร้อมการเซ็นชื่อยืนยันเป็นหลักฐาน ว่าได้มาใช้สิทธิจริง แต่ปรากฏหลักฐานว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนไม่ได้มาใช้สิทธิแต่กลับมีคนอื่นมาเซ็นชื่อเพื่อใช้สิทธิแทน หรือเรียกง่ายๆ ว่าปล่อยให้มีผีมาใช้สิทธิแทนคนในหน่วยเลือกตั้ง
นายชาญชัยกล่าวต่อว่า เอกสารดังกล่าวถือเป็นเอกสารของ กกต.ที่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งต้องบันทึกและเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อส่งมอบต่อ กกต.กลาง คนนอกไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะสามารถเซ็นชื่อแทน หากคนของ กกต.หรือเจ้าหน้าที่ผู้มาช่วยงานเลือกตั้งไม่ร่วมมือด้วย โดยตนมีหลักฐานชัดเจนทั้งหมด 141 หน่วยเลือกตั้งในจังหวัดนครนายกเมื่อปี 2554 ซึ่งทั้งหมดเป็นหลักฐานที่ขอใช้หมายศาลเรียกมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่พบข้อพิรุธว่าผีที่มาอ้างสิทธิลงคะแนนแทนคนที่ไม่มาใช้สิทธิ นอกจากนี้ยังเคยร้องเรียนไปยัง กกต.กลางยุคนั้นแต่กลับไม่มีการลงโทษใดๆ จึงเห็นว่าหาก กกต.ทำผิดขอให้มีโทษสองเท่าเหมือน ป.ป.ช. เพราะมีอำนาจให้คุณให้โทษจึงต้องรับผิดชอบต่อการเข้าสู่อำนาจการเมืองโดยไม่สุจริตเพราะ กกต.ก็เป็นต้นเหตุด้วย
“ที่ผ่านมา กกต.ไม่เคยสะสางตัวเอง ในขณะที่นักการเมืองปฏิรูปตัวเองไม่รู้กี่รอบแล้ว ดังนั้น กกต.ต้องปฏิรูปตัวเองบ้าง กกต.จึงต้องล้างบางพวกตัวเองสะสางทั้งระบบ ควรที่จะเซ็ตซีโร่ระบบใหม่เพราะที่ผ่านมาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากจะต้องกำหนดบทลงโทษใหม่และสร้างกลไกการตรวจสอบ กกต.ให้มีความเข้มข้นมากขึ้น เริ่มจาก กกต.ต้องล้างบางตัวเองให้เกิดความโปร่งใสเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ กกต.อำนาจมีอยู่แล้วไม่ต้องขอเพิ่มเติมแต่ควรใช้สิ่งที่มีอยู่ให้โปร่งใสและต้องตรวจสอบได้ ผมไม่เกรงกลัวการเพิ่มโทษนักการเมือง แต่อยากให้คนที่ทำหน้าที่เป็นกลางเป็นกลางจริงๆ ไม่ใช่มีการค้าสำนวนหรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” นายชาญชัยกล่าว
อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ เสนอด้วยว่า อยากให้มีการระบุในกฎหมายว่าห้ามเก็บเอกสารไว้ในห้องขังที่สถานีตำรวจให้เปิดเผยในที่สาธารณะให้ประชาชนที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงไปตรวจสอบได้ภายในหกเดือนจะเป็นการตรวจสอบความโปร่งใสของ กกต.ได้ เพราะในส่วนของนักการเมืองการใช้จ่ายต่างๆ ก็ยังต้องเปิดเผยข้อมูลให้มีการตรวจสอบได้ นอกจากนี้จะเสนอต่อ กรธ.ให้เขียนกฎหมายป้องกันไม่ให้ กกต.ทำหน้าที่เอื้อประโยชน์หรือกลั่นแกล้งให้คุณให้โทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการเลือกตั้ง เพราะ กกต.มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเป็นทั้งพนักงานสอบสวน อัยการและศาล ที่จะตัดสินชี้ขาดให้คนเข้าสู่อำนาจทางการเมือง จึงต้องมีกระบวนการตรวจสอบภายในโดยให้องค์กรเอกชนหรือหน่วยงานอื่นเข้ามาร่วมตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจของ กกต.ในระหว่างการเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง 1 ปี และห้าม กกต.ที่พ้นวาระไปแล้วไปเป็นที่ปรึกษาหรือดำเนินกิจกรรมร่วมกับพรรคการเมืองหรือนักการเมืองหลังพ้นตำแหน่งไปแล้วอย่างน้อย 5 ปี รวมถึงขอให้เพิ่มโทษหนักในกรณีการค้าสำนวนเพื่อเรียกรับประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวน กกต.และให้วางระบบปกป้องคุ้มครองพยานบุคคลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นรวมทั้งให้ กกต.ใหญ่เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณะ โดยจะมอบข้อมูลทั้งหมดให้กับ กรธ.ไปพิจารณาประกอบการร่างกฎหมายและจะส่งเอกสารให้จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรค ที่จะไปร่วมเสวนากับ สนช.และ กรธ.ด้วย