“ประยุทธ์” ขออย่าไปให้ความสำคัญวันเบอร์ซาตู ชี้อยากปลอดภัยต้องร่วมมือใช้ กม.เข้มข้น ย้อนพวกสิทธิฯไปเล่นงานคนวางบึ้ม บ่นใช้มาตราการพิเศษไม่ได้สักอย่าง รบกับโจรต้องใช้ กม.อย่าไปพันกับเรื่องสิทธิฯ ให้ทบทวนตัวเลขเสียหายจำนำข้าว สรุปให้ทันก่อนหมดอายุความ ท้ายสุดอยู่ที่ศาล ปัดซูเอี๋ยยันไม่อยากให้ ขรก.เดือดร้อน ลั่นปฏิรูปการเมืองให้สำเร็จก่อนเลือกตั้ง ชี้สายเลือดใหม่ไม่อยากเสียประวติ เหตุต้องแสดงบัญชี
วันนี้ (30 ส.ค.) เมื่อวันที่ 30 ส.ค. เวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีการดูสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงวันสถาปนาขบวนการแนวร่วมเพื่อเอกราชแห่งปาตานี หรือเบอร์ซาตู 31 ส.ค. ว่าวันครบรอบเบอร์ซาตูก็มีทุกปี เราอย่าไปให้ความสำคัญ เราให้ความสำคัญในการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้น และถ้าอยากให้ดีที่สุดต้องตรวจรถทุกคันที่ผ่านด่าน จอดแล้วเปิดท้ายรถเปิดเบาะ แต่ก็ทำไม่ได้สักอย่าง เดือดร้อน ตรงนี้ต้องสร้างการรับรู้ใหม่ ถ้าต้องการความปลอดภัยต้องร่วมมือ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น แต่วันนี้พอแตะอะไรก็มีเรื่องสิทธิมนุษยชน ละเมิดสิทธิ ทำไมไม่ไปเล่นงานคนวางระเบิดแบบนั้นละเมิดสิทธิใครหรือเปล่า ยืนยันว่าจะดูแลสถานการณ์เต็มที่ อย่าไปขยายความว่าวันไหน มันก็มีวันแบบนั้นทุกปีทุกวัน ทั้งปีด้วยซ้ำ มันคือวันเก่าๆ เรื่องเก่าๆ ถ้าเราให้ความสำคัญมากๆ ก็ไม่ได้ในทางสื่อสาร แต่ในทางปฏิบัติต้องเข้มงวด ไม่มีอะไรได้ร้อย ถ้าไม่ร่วมมือ อย่างเต็มที่
“ผมบอกหลายทีแล้วเรื่องภาคใต้ เราทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ในเรื่องมาตรการเสริม มาตรการพิเศษ ห้ามใช้ถนนก็ไม่ได้ เคอร์ฟิวไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้หมด แล้วต้องใช้ทหาร ตำรวจ ต้องเท่าไหร่ ไปเฝ้าทุกเส้นทาง มันมีกี่เส้น และมีกี่กลุ่มที่ต้องดูแลครู นักเรียน ทหาร ตำรวจ ข้าราชการก็โดนกันหมด ซึ่งต้องไปบังคับกลุ่มคน ที่มาพูดคุยกับเรา ทำเรื่องนี้ให้มันชัดเจนขึ้น จะมีมาตรการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไรถึงจะไปสู่กระบวนการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ถ้ามาต่อรองด้วยการใช้ความรุนแรง ผมก็ต้องใช้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้น ประชาชนก็เดือดร้อน ไม่มีสูตรอื่น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีรายงานข่าวความเคลื่อนไหวอะไร ฝ่ายความมั่นคงได้ติดตามอยู่แล้ว” นายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข่าวว่านายกฯ จะยกเครื่องข่าวกรองใหม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ข่าวกรองก็คือข่าวกรอง ข่าวกรองต้องเข้าใจมันจะมีข่าวทางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี นำยุทธศาสตร์กว้างๆ มาสู่การปฏิบัติ ซึ่งข่าวที่ได้มามีหลายความน่าเชื่อถือ บางทีก็เป็นข่าวบอกกันมา มี ก. ข. ค. ง. ต้องไปสู่กระบวนการตรวจสอบ บางครั้งอาจไม่ทัน เพราะข่าวเยอะมาก แต่ก็ต้องสรุปให้ได้โดยเร็ว ซึ่งเขาก็ทำอยู่ ประเด็นก็คือพื้นที่กว้าง แต่ไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ เพราะทุกคนต้องทำ ดังนั้น มาตรการสำคัญคือมาตรการป้องกันเชิงรุก ต้องวางกำลังป้องกันเข้มแข็ง การหาข่าวก็จะรู้แต่ข่าวกว้างๆ ว่าจะเกิดในพื้นที่ไหน แต่คงไม่มีใครบอกว่าจะเกิดระเบิดจุดใด ต่างประเทศก็ทำไม่ได้ขนาดนั้นเพียงแต่เขาใข้มาตรการป้องกันเชิงใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ ห้ามเข้าห้ามออกรถทุกคันต้องตรวจ เขาทำแบบนั้นจึงทำได้ แต่บ้านเราทำไม่ได้ ตนไม่ได้โทษประชาชน แต่ประชาชนต้องร่วมมือ ในการบังคับใช้กฎหมาย ช่วยกันคนละทางสองทางก็ดีเอง จะพูดคุยหรือพัฒนาอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ไม่ใช้กฎหมายก็ไม่ใช่ ต้องใช่ทุกอย่าง และประชาชนก็จะเป็นผู้รับผลกรรม ฉะนั้นต้องเห็นใจเขา เวลาเสนอข่าวอะไรออกไป เพราะบางครั้งเกิดสถานการณ์บางพื้นที่ บางอำเภอ ไม่ได้เกิดทั้งหมด แต่กลับไปบอกว่าเกิดสี่จังหวัด ก็จะยิ่งไปกันใหญ่ เดิมเกิดหลายหมู่บ้าน แต่วันนี้ลดลงเยอะ ปัญหาคือจะไปไล่ล่าอย่างไรในพื้นที่มันทำไม่ได้ แต่จะต้องปิดล้อม สกัดกั้นทั้งหมดทุกเส้นทาง เพื่อไม่ให้ขยายไปที่อื่น แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะประชาชนต้องการเสรี ตรงนี้ต้องช่วยกันคิดสร้างความเข้าใจ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ขอให้เข้าใจว่าเราไม่ได้รบกับชาวบ้าน แต่เราไปรบกับโจรต้องบังคับกฎหมาย อย่าให้ไปพันกับเรื่องสิทธิมนุษยชน เขาเป็นอาชญากรรมร้ายแรง เป็นอาชญากร เราพร้อมให้อภัย แต่ต้องมาสู่กระบวนการยุติธรรม มีคณะทำงานไม่รู้กี่คณะ โครงการพาคนกลับบ้านก็มี เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็มี เพื่อกลับคืนสู่สังคมคนดี และก็มีคนกลับมาเยอะ ส่วนบางคนที่ไม่กลับต้องมาดูว่าทำไมไม่กลับ ขออย่าไปเขียนเพราะหลักการเหตุผลพันกัน
“ใครจะรู้มากกว่าผมซึ่งอยู่ฝ่ายความมั่นคงมาตลอดชีวิต การแก้ปัญหาภาคใต้ก็แก้มาก่อนหน้าผม รัฐบาลที่แล้วผมก็บอกว่าการพูดคุยเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ข้อสรุปทีเดียว ต้องทำอย่างอื่นไปด้วย ทั้งการพัฒนาและเรื่องการศึกษา วันนี้ผมก็ทำใหม่ทั้งหมด ผมลงลึกถึงขนาดที่ว่าสอนภาษาไทยกันอย่างไร จะต้องท่องจำกันหรือเปล่าให้เข้าใจว่าคืออะไร เหมือนฝึกทหารใหม่ ซึ่งมันมีวิธีการอยู่ที่ระบบการศึกษา ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ทำเต็มที่ เร่งรัดหมดโดยเฉพาะห้องเรียนกีฬา ที่เสนอมาหลายรัฐบาลแล้วไม่เกิด ก็เลยมาทำเอง” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณี นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ระบุ 5 ประเด็นคดีจำนำข้าวที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเร่งแก้ไขให้เกิดความชัดเจน ว่าตนได้ไล่เช็กดูแล้ว เป็นเรื่องของตัวเลขในช่วงต่างๆ จึงให้ไปทบทวนอีกทีว่าเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะตัวเลขแรก ตัวเลขสอง ตัวเลขสาม บางทีมันสร้างความขัดแย้ง จริงๆ แล้วไม่ว่าตัวเลขจะมากจะน้อยยังไงก็ตาม ต้องส่งให้กระบวนการยุติธรรมไป ขึ้นศาล ผู้ถูกกล่าวหาสามารถสู้ในศาลได้ ถ้าเรียกเขาเยอะแต่เขาผิดน้อยเขาก็สามารถสู้ในศาลเพื่อให้เรียกน้อยได้ หรือไม่เสนอไปเขาอาจจะเรียกเพิ่มก็ได้ ทั้งหมดอยู่ที่ศาล ไม่ได้อยู่ที่ตน เขาต้องไปเรียกพยานหลักฐานมาเพิ่มอีก ไม่สรุปจากตรงนี้ ตนบอกแล้วทุกอย่างใช้กระบวนการยุติธรรม ซึ่งตัวเลขที่เกิดขึ้นนี้เป็นการสำรวจจากบัญชี จากคลัง จากส่วนต่างๆ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า สำหรับสิ่งที่ตนเป็นกังวลคือเป็นกังวลกับข้าราชการ ไม่ใช่ซูเอี๋ย ลดตรงนี้ไปโปะให้ข้าราชการ ตนอยากให้ข้าราชการเดือดร้อนที่ไหน นั่นคือสิ่งที่มันพันกันอยู่ระหว่างข้าราชการกับนักการเมือง และท้ายสุดข้าราชการต้องมารับไป ไอ้คนที่ทำความผิดจริงๆ ก็คือหัวๆ นั่นแหละ ก็รับไป แต่ข้าราชการเป็นลูกน้องเขาจะทำอย่างไร ทั้งนี้ สำหรับเรื่องตัวเลขขณะนี้ยังไม่รู้ อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาอยู่ บางทีก็ถามเร็วกันเกินไป ตัวเลข 2.8 แสนล้านนั้นตั้งแต่ปี 57 เป็นช่วงแรกที่สรุปตัวเลขหน้าคลัง เป็นตัวเลขบัญชีราคาขายในขณะนั้น ตัวเลขสองตัวอาจไม่ตรงกัน แต่เมื่อนำเรื่องขึ้นศาลไปแล้วเขาก็ต้องดูว่าทำไมตัวเลขถึงไม่ตรงกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เดือนกันยายนจะสามารถสรุปตัวเลขได้ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า มันต้องสรุปให้ทันก่อนหมดอายุความ ตนจะปล่อยให้หมดอายุความได้อย่างไร ตนรับผิดชอบเฉพาะเรื่องทางละเมิด ส่วนคดีแพ่ง คดีอาญาเป็นส่วนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งนี้คดีมี 3 เรื่องและมีหลายกลุ่ม ทั้งจีทูจีอีก อย่านำมาพันกัน รับรองตนจะทำให้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นจะเข้ามาทำไม เข้ามาให้เกิดความเป็นธรรมทั้งผู้ถูกดำเนินคดี รัฐ และประเทศ ตนต้องทำตัวแบบนั้น ไม่ใช่ศัตรู
พล.อ.ประยุทธ์ยังตอบข้อถามผู้สื่อข่าวถึงแนวทางการปฏิรูปนักการเมืองและพรรคการเมืองให้ยึดโยงกับประชาชนไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจนายทุนพรรคว่า มีหลายอย่างขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทำกฎหมายปฏิรูปพรรคการเมือง โดยฝ่ายกฎหมาย สปท.-สนช.-กรธ. ต้องพูดคุยกันอยู่ว่าพรรคการเมืองจะทำอย่างไร ทั้งนี้ต้องยึดโยงกับกับคำว่าประชาธิปไตยสากล แต่ของเรามันหลุดจากกรอบไปเยอะ สิ่งสำคัญเราจะทำอย่างไรจะได้คนดีเข้ามาสู่ระบบการเมือง จะไปออกระเบียบอะไรมันก็ไม่ได้อีกถ้าคนไม่ดี ดังนั้นต้อง มีระบบคัดกรองที่ดี วันนี้รัฐธรรมนูญร่างมาเพื่อให้คนที่ไม่มีปัญหาเข้ามาก็ยังโดนต่อต้านเยอะแยะไปหมด
“เรื่องนายทุนอะไรต่างๆ นั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการเป็นพรรคการเมือง นักการเมือง ต้องใช้เงินอะไรมากน้อยไหน เพราะวันนี้ผมก็ไม่ได้ใช้เงินเหล่านั้นเลยที่จะทำให้คนต้องมารักผม แต่เขาอาจจำเป็นหรือไม่ในการที่ต้องใช้เงินของ ส.ส.ไปดูและประชาชนที่เขาบอกว่าต้องมี แล้วมาจากไหน อย่างวันนี้นักธุรกิจใหญ่ๆ มันก็ต้องอยู่ในประเทศไทยก็ร่วมมือกับผมดีในการทำงาน และไม่เห็นต้องเสียสตางค์ให้ผมสักคน ไม่ต้องบำรุงพรรคผม ผมต้องไปดูกฎหมายการบำรุงพรรคอะไรทำนองนี้ เขาดูหมดทั้งบุคลากรเข้าสู่การเมือง ดูไปถึงบทลงโทษกำลังพิจารณากันอยู่ การปฏิรูปการเมืองอยู่ประเด็นที่ต้องทำให้เสร็จก่อนการเลือกตั้ง อย่างน้อยเป็นกติกาที่จะทำให้คนรุ่นใหม่เข้ามาในการเมือง” หัวหน้า คสช.กล่าว
ต่อข้อถามว่า แล้วกฎหมายที่จะออกมาจะสามารถดึงคนที่ดีๆ หรือนักการเมืองสายเลือดใหม่เข้ามาได้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “มีใครไหมล่ะไปหามาสิ ที่ผมเป็นรัฐบาลมา 2 ปี หาคนใหม่ๆ เข้ามาไม่มีใครเข้ามากับผมสักคน อาจจะไม่เฉพาะกลัวว่าเป็นรัฐบาลรัฐประหารหรอก แต่เขาไม่อยากให้ประวัติมาเสียหายกับการที่ไปเป็นคนสาธารณะ บางเรื่องมันก็ก้าวล่วงชีวิตส่วนตัวเขามากเกินไป เป็นปัญหาสำคัญของนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ไม่เข้ามา เรื่องการแสดงบัญชีทรัพย์สิน เขาไม่ตั้งใจจะโกง ทรัพย์สินเขามีอยู่แล้วแต่ต้องมาตีแผ่ให้คนสงสัย เขาก็รับไม่ได้ถึงไม่อยากเข้ามา แต่เข้ามาอย่างไรก็ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน บางอันเป็นกรรมการทางธุรกิจนี่โน่นต้องยกเลิกหมดเลยเพราะมันผลประโยชน์ทับซ้อนแล้วต้องมารับเงินเดือนนิดหน่อย เขาไม่อยากมาหรอก คือเขาไม่อยากมีประวัติใหม่ ไม่ต้องการจะโกงแล้วต้องมาถูกตีแผ่ และการบริหารเชิงรุกของเขามันทำไม่ได้นั่นแหละมันติดขัดที่คนรุ่นใหม่ไม่กล้าเข้ามาหรอก คนรุ่นใหม่เขาตั้งใจดี ที่ผมขับเคลื่อนอยู่ก็ได้ความคิดจากคนเหล่านี้แหละ แต่ถามว่ามาเป็นไหมไม่เป็นหรอก ถามว่า ส.ส.ไหมไม่สมัคร เขาก็ไม่ชอบไม่มีใครชอบหรอก ผมก็ไม่ชอบ แต่ผมจำเป็นต้องทำตอนนี้แค่นั้น ผมขอให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีไม่มีใครเข้ามาสักคน”