นายกฯ ยันรัฐบริหารเน้นส่วนรวมไม่หวังผลทางการเมือง จะไม่ปล่อยให้กระแสทุนนิยมครอบงำสังคมจนคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ขอทุกฝ่ายเคารพการตัดสินใจเสียงส่วนใหญ่ลงประชามติ ร่วมมือกันเดินหน้าประเทศต่อไป เลือกตั้งปลายปี 60 จงลืมอดีตเลวร้ายเพื่อก้าวสู่อนาคต ขอมั่นใจรัฐจะใช้เวลาที่เหลือให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชาติและ ปชช.
วันนี้ (12 ส.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ถึงโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรม ว่า ตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการให้เป็นไปตามครรลองที่เหมาะสม เห็นแก่ผลประโยชน์ของชาติโดยส่วนรวม โดยไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างแอบแฝง ซึ่งต่างจากช่วงเวลาที่ผ่านมา แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มักถูกนำไปเป็นเรื่องของทางการเมือง ทางธุรกิจเป็นนโยบายพรรคในการหาเสียง เช่น พื้นที่ใดเลือกพรรคของตน เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว โครงการพัฒนาต่าง ๆ ก็จะไปถึงพื้นที่เหล่านั้นก่อน ซึ่งขัดแย้งกับหลักธรรมาภิบาลในการบริหารบ้านเมือง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป
ส่วนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นนามธรรม เราได้สร้างบรรยากาศ และวางรากฐานการปลูกจิตสำนึกผ่านกลไก บ้าน รัฐ โรงเรียน หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และโครงการประชารัฐต่าง ๆ อันเป็นนโยบายของรัฐบาลเอง โดยไม่ปล่อยให้กระแสทุนนิยม บริโภคนิยม วัตถุนิยมเข้าครอบงำกัดกร่อนจิตใจของสังคมไทยให้มีแต่ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้
นายกฯ กล่าวถึงวันออกเสียงประชามติเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา ว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ให้การยอมรับทั้งรัฐธรรมนูญ และประเด็นคำถามพ่วง มีพี่น้องประชาชนได้ออกมาแสดงพลังบริสุทธิ์ ด้วยการออกไปใช้สิทธิในครั้งนี้เกือบร้อยละ 60 ของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียง นับเป็นการตื่นตัวทางการเมืองของเจ้าของอำนาจ อย่างน่าชื่นชม ดังนั้น ผมขอให้ทุกฝ่ายเคารพการตัดสินใจของประชาชน และขอความร่วมมือกันเดินหน้าประเทศต่อไป
สำหรับทิศทางบริหารประเทศนับจากนี้ไปจะเป็นไปตามโรดแมปที่ คสช. ได้กำหนดไว้ เลือกตั้งทั่วไปช่วงปลายปี 60 ขอให้เราทุกคนได้ลบเลือนอดีตที่เจ็บปวด และล้มเหลวออกจากใจ และเก็บไว้เป็นบทเรียนย้ำเตือนใจ สำหรับการก้าวไปสู่อนาคต ขอให้เชื่อมั่นและไว้วางใจ ว่า รัฐบาลนี้จะเป็นรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ ที่มุ่งมั่นรักษาความมั่นคงเพื่อพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน เราจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน
คำต่อคำ : คืนความสุขให้คนในชาติ 12 สิงหาคม 2559
สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน นับเป็นระยะเวลายาวนานเกือบ 7 ทศวรรษที่ภาพความทรงจำที่คุ้นเคยของปวงชนชาวไทย คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้โดยเสด็จพระราชดำเนินเคียงคู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ห่างไกล และถิ่นทรุกันดารทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ อันเป็นที่มาของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินานัปการ เพื่อความอยู่ดีกินดีของพสกนิกรทุกด้าน พระราชดำริที่ทรงสำคัญของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถล้วนสนองพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อยกฐานะความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น อาทิ ทรงริเริ่มโครงการให้ราษฎรโดยเฉพาะชาวนาในท้องถิ่นชนบทมีอาชีพเสริม โดยใช้เวลาว่างจากการทำนาทำไร่มาทำงานศิลปาชีพ เพื่อรักษางานช่างศิลป์ไว้ในวิถีชีวิตชาวบ้าน และสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น อันเป็นจุดเริ่มต้นของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสินค้าโอทอปประชารัฐ ในปัจจุบัน ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถเข้าเยี่ยมชมผลงานประดิษฐ์จากฝีมือลูกหลานชาวไร่ชาวนาที่นอกจากเป็นการสืบสารอนุรักษ์ศิลปะของแผ่นดินให้คงอยู่แล้ว ยังสะท้อนถึงความรักความเมตตาที่สถาบันพระมหากษัตริย์ มีต่อพสกนิกรชาวไทยผ่านงานศิลป์แบบต่าง ๆ เป็นงานศิลป์แผ่นดิน และเรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์ หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม อีกทั้งด้วยพระอัจฉริยภาพภาพที่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ ในการออกแบบฉลองพระองค์ชุดประจำชาติ เมื่อครั้งโดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ เมื่อ 50 กว่าปีที่ผ่านมา ปัจจุบันรู้จักกันในนามชุดไทยพระราชนิยม นอกจากนี้ ทรงมีพระราชวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ในการพลิกฟื้นศิลปะชั้นสูงของชาติ โดยทรงส่งเสริม ทั้งงานด้านศิลปะ วรรณศิลป์ และนาฏศิลป์ของไทย อาทิ โขนพระราชทานให้คืนกลับมาสู่ความนิยมและเป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทย อีกครั้งหนึ่ง โดยฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ประยุกต์มาจากชุดไทยพระราชนิยมต้นแบบ และเครื่องโขนพระราชทานดังกล่าว พี่น้องประชาชนสามารถเข้าชมได้ ณ พิพิธภัณฑ์ผ้า ในพระบรมมหาราชวัง ดังนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นอกจากจะทรงเป็นแผ่นของแผ่นดินแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นประดุจศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกปักรักษางานศิลปะของชาติ สมความหมายแห่งพระราชสมัญญาอัคราภิรักษศิลปิน เนื่องในมหามงคลทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๘๔ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ นี้ ผมขอเชิญชวนปวงพสกนิกร ร่วมกันน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ มีทัพนักกีฬาไทย 50 กว่าคน เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ โอลิมปิก 2016 ณ ประเทศบราซิล ปัจจุบัน สามารถคว้าเหรียญรางวัล นำความสุขมาสู่ปวงชนชาวไทยแล้วหลายรายการ ในกีฬายกน้ำหนัก นับตั้งแต่ เหรียญทอง เหรียญแรก จาก น้องแนน โสภิตา ธนสาร ตามมาด้วยเหรียญทอง และเหรียญเงินของ น้องฝ้าย สุกัญญา ศรีสุราช และ น้องแต้ว พิมศิริ ศิริแก้ว ในรายการเดียวกัน และดุ่ย สินธุ์เพชร กรวยทอง ที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน ได้เหรียญทองแดงมาครอง แต่ก็ต้องสูญเสียคุณยายสุบินไป ซึ่งผมก็ขอให้เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นแรงผลักดัน เป็นกำลังใจให้ ดุ่ย สินธุ์เพชร ได้มุ่งมั่น ฝึกฝนตนเอง ให้ประสบความสำเร็จสูงสุดต่อไป สมดังที่คุณยายสุบิน ตั้งความหวังไว้ สำหรับนักกีฬาประเภทอื่น ที่กำลังจะทยอยลงสู่สนามการแข่งขัน ผมขอเชิญพี่น้องชาวไทย ร่วมแรงใจเชียร์ทักนักกีฬาไทย คว้าชัยในโอลิมปิก โดยขอให้นักกีฬาทุกคน ซึ่งเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ ได้แสดงออกถึงน้ำใจนักกีฬา และแสดงออกถึงความเป็นไทยที่งดงาม สู่สายตาชาวโลก ขอให้นักกีฬาทุกคนทุ่มเทแรงกายแรงใจทำหน้าที่ของตนให้เต็มศักยภาพ มีสมาธิ มีสติ แล้วใช้ปัญญาเป็นเครื่องนำทางแห่งความสำเร็จ ผมเชื่อว่า ทุกหัวใจของคนไทยจะเป็นกำลังใจให้กับท่าน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใดในโลก ท่านไม่ได้ไปคนเดียว แต่จะมีกองเชียร์ติดตามเป็นกำลังใจให้แก่ท่าน ทั้งขอบสนาม ทั้งหน้าจอโทรทัศน์
พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน การที่ชาติไทยของเรานั้นจะสามารถดำรงความเป็นชาติ และมีขีดความสามารถในการแข่งขันทัดเทียมนานาอารยประเทศบนโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงได้นั้น เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานของชาติ ซึ่งหลายคนมักจะเข้าใจคุ้นเคยโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรม อันได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ทางถนน ทางราง ทางน้ำ ทางทะเล และทางอากาศ หรือโครงสร้างด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ดิจิตอล และงานสื่อสาร ด้านไฟฟ้า ด้านประปา และด้านพลังงาน ทั้งหมดจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบ และควรบรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ของชาติระยะยาว เนื่องจากเป็นการลงทุนขนาดใหญ่
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาจจะไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากนัก หรือถูกนำไปเป็นเรื่องของทางการเมือง ทางธุรกิจเป็นนโยบายพรรคในการหาเสียง เช่น พื้นที่ใดเลือกพรรคของตน เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว โครงการพัฒนาต่าง ๆ ก็จะไปถึงพื้นที่เหล่านั้นก่อน ซึ่งขัดแย้งกับหลักธรรมาภิบาลในการบริหารบ้านเมือง สำหรับตัวผมเองเห็นว่า รัฐบาลควรจะบริหารงานเพื่อประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่เพื่อฐานเสียง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไปตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และตลอด 2 ปี ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้ดำเนินการให้เป็นไปตามครรลองที่เหมาะสมเห็นแก่ผลประโยชน์ของชาติโดยส่วนรวม โดยไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างแอบแฝง เช่น ผลักดันโครงการหลวงพิเศษหมายเลข หมายเลข 6 บางปะอิน - นครราชสีมา ที่ค้างคามากว่า 20 ปี หรือรถไฟฟ้ามหานคร สายสีม่วง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่า ฉลองรัชธรรม ความหมายว่า เฉลิมฉลองพระราชาที่ปกครองโดยธรรม และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการเดินรถอย่างเป็นทางการ เมื่อวันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา และอีกหลายโครงการที่เกิดจากการบริหารราชการแบบตรงไปตรงมาของรัฐบาลนี้
สำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นนามธรรม ที่ผมเห็นว่า มีความสำคัญอย่างมาก หลายคนมักมองข้าม ก็ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานทางจิตใจ ที่ต้องหลอมรวมกันใน ความเป็นคน ไปจนถึงความเป็นชาติ อาทิ ภาษา การศึกษา ศิลปะ หัตถกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นต้น อันเป็นที่มาของความผูกพัน ความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ เป็นพลังอำนาจของชาติ ที่แม้มองไม่เห็น แต่มีพลัง คล้ายอากาศที่มองไม่เห็น แต่เมื่อมีการรวมตัวกันและเคลื่อนไหว ก็จะเกิดเป็นพายุอันทรงพลัง หากนำไปใช้ในทางที่ถูก เช่น พลังประชารัฐ และพลังในการปฏิรูปต่าง ๆ ก็จะเกิดคุณประโยชน์แก่ชุมชน สังคม ตลอดจนประเทศชาติโดยรวม หากชี้นำไปใช้ในทางที่ผิด ก็จะเกิดผลในทางตรงกันข้าม เหมือนดังเช่น ก่อน 22 พ.ค. 57 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นนามธรรม จะรวมไปถึงระบบราชการ สวัสดิการ การให้บริการภาครัฐ ที่ต้องสามารถลดความเหลื่อมล้ำครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน โดยรวมแล้วก็คือ การบริหารราชการอย่างมีธรรมาภิบาลนั่นเอง รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างมาก ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมานั้น เราได้สร้างบรรยากาศและวางรากฐานการปลูกจิตสำนึกผ่านกลไกบวร บ้าน รัฐ โรงเรียน และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และโครงการประชารัฐต่าง ๆ อันเป็นนโยบายของรัฐบาลเอง โดยไม่ปล่อยให้กระแสทุนนิยม บริโภคนิยม วัตถุนิยมเข้าครอบงำกัดกร่อนจิตใจของสังคมไทยให้มีแต่ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เพราะทุกวันนี้ประเทศชาติต้องการความเสียสละ การเห็นแก่ประเทศชาติและผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ดังนั้น การเสริมสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ความยั่งยืนของชาติ เราจำเป็นต้องคำนึงถึงโครงสร้างพื้นฐานทั้งรูปธรรม และนามธรรมอย่างสมดุล มีภารกิจความท้าทายของชาติ ของโลกในอนาคตอย่างดีให้พวกเราถ้ามีมาก ผมจึงขอความร่วมมือสามัคคี ปรองดองของคนในชาติในการจะเดินหน้าประเทศในการปฏิรูปประเทศต่อไป ตัวอย่างที่ดีก็คือ วันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็นวันออกเสียงประชามติเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งผมอยากจะเรียกว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ให้การยอมรับทั้งรัฐธรรมนูญ และประเด็นคำถามพ่วง โดยมีพี่น้องประชาชนได้ออกมาแสดงพลังบริสุทธิ์ ด้วยการออกไปใช้สิทธิในครั้งนี้เกือบร้อยละ 60 ของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียง ผมเห็นว่า ความรักชาติ และความสามัคคีของคนในชาติกลับคืนสู่สังคมไทยแล้วอย่างค่อยเป็นค่อยไป และนับเป็นการตื่นตัวทางการเมืองของเจ้าของอำนาจ อย่างน่าชื่นชม
นอกจากนี้ ผมคิดว่า เสียงบริสุทธิ์ที่ปราศจากการชี้นำ หรืออิทธิพลจากทางการเมืองย่อมสะท้อนถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า การปฏิรูปประเทศของลูกหลานเราเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้น ผมขอให้ทุกฝ่ายเคารพการตัดสินใจของประชาชน และขอความร่วมมือกันเดินหน้าประเทศต่อไป อย่างไรก็ตาม เสียงส่วนน้อยก็ยังเป็นเสียงที่มีคุณค่าตามหลักประชาธิปไตยที่ต้องได้รับการรับฟังมานำพิจารณา เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุข ทิศทางพัฒนาประเทศ บริหารประเทศนับจากนี้ไปจะเป็นไปตามโรดแมปของเราที่ คสช. ได้กำหนดไว้ โดย 3 เดือนจากนี้ไป คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะต้องแก้ไขเพิ่มเติมในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับประเด็นคำถามพ่วง และความเห็นชอบจากประชาชน จากนั้นจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความถูกต้อง ก่อนที่ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีจะได้นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อทรงพิจารณาและลงพระปรมาภิไธยต่อไป โดยจะมีวันสำคัญที่จะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ชาติไทยอีก 2 วัน ได้แก่
1. วันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่แก่ประชาชนชาวไทย ประมาณเดือนพฤศจิกาฯ 2559 และ 2. วันเลือกตั้งทั่วไปช่วงปลายปี 60 ผมขอให้เราทุกคนได้ลบเลือนอดีตที่เจ็บปวด และล้มเหลวออกจากใจ และเก็บไว้เป็นบทเรียนย้ำเตือนใจ สำหรับการก้าวไปสู่อนาคต เนื่องจากจะชัดเจนและสัมผัสได้ที่ยังรอเราอยู่ พวกเราจะต้องไขว้คว้าโอกาสเหล่านั้น จะได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความสามัคคีของคนในชาติ ที่กล่าวมานั้นก็คือความชัดเจนที่เชื่อถือได้ ที่รัฐบาล และ คสช. มีให้กับประชาชนชาวไทยเสมอมา นับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์
สำหรับเพื่อนบ้าน พันธมิตร และประชาคมโลก ที่แสดงความเป็นห่วงเฝ้าติดตามสถานการณ์ หรือให้กำลังใจกับประเทศไทย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ผมได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เดินหน้าประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจถึงเหตุผล และความต้องการของประชาชนตามผลประชามติในเส้นทางสู่การเลือกตั้ง และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ซึ่งเป็นแผนระยะสั้นที่จะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นแผนระยะยาว เพื่อให้เกิดความร่วมมือ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอันดี รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนทั้งภายในและนอกประเทศด้วย เหลือเวลาอีก 1 ปีเศษ ก่อนจะมีการเลือกตั้งทั่วไป และไปจนถึงการส่งมอบภาระหน้าที่ให้กับรัฐบาลใหม่ ผมและรัฐบาล และ คสช. ยังคงต้องการความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันของคนในชาติเหมือนที่เคยได้รับตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ นั้นต้องการความเข้าใจและมีการปรับตัวเข้าหากัน พูดจากันด้วยความจริงใจ ไว้เนื้อเชื่อใจ ลดความหวาดระแวง ผมขอให้เชื่อมั่น และไว้วางใจ ว่า รัฐบาลนี้จะเป็นรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ ที่มุ่งมั่นรักษาความมั่นคงเพื่อพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน เราจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน
สุดท้ายนี้ เนื่องจากวันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ ผมขอให้ทุกครอบครัวคนไทยได้แสวงหาความสุข พร้อมหน้ากัน พ่อ แม่ ลูก ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หากต้องการของขวัญวันแม่สักชิ้น ผมขอแนะนำซื้อหาสินค้าโอทอปประชารัฐ โดยชาวกรุงเทพฯ หาซื้อได้ที่งานศิลปาชีพประทีปไทย ประชารัฐก้าวไกลด้วยพระบารมี ณ เมืองทองธานี สำหรับผู้ที่เดินทางไปต่างจังหวัด ก็แวะซื้อได้ที่ร้านค้าประชารัฐสุขใจ ในปั๊ม ปตท. หรือร้านค้าที่ร่วมรายการได้ทั่วประเทศ ทั้งนี้ จะเป็นโครงการชอปช่วยชุมชนของรัฐบาลอีกด้วย นอกจากจะเป็นการสนับสนุนสินค้าไทย และส่งเสริมศิลปะ หัตถกรรมพื้นบ้านแล้ว ท่านยังสามารถนำใบเสร็จมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้อีกด้วย ขอบคุณครับ สวัสดีครับ