ปปง.ยึดทรัพย์เพิ่ม 1 รายการ รวม 14 รายการ แก๊งอดีตลูกปลัดวิทย์-อดีตบอร์ดดีเอสไอ ตุ๋นขายหุ้นพันล้าน ปี 57 ก่อนอมค่าปันผล เผยมูลค่าเสียหายจากการหลอกซื้อหุ้นกว่า 280 ล้านบาท เผย ปปง.ประกาศ แจ้งผู้เสียหายแจ้งขอคืนทรัพย์สินหรือชดใช้คืนความเสียหาย
วันนี้ (25 ส.ค.) มีรายงานว่า ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศพนักงานเจ้าหน้าที่สํานักงาน ปปง. เรื่องให้ผู้เสียหายยื่นคําร้องขอคุ้มครองสิทธิจากการกระทําความผิดมูลฐาน ด้วยคณะกรรมการธุรกรรมได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 14/2559 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2559 ให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดของนายปาณสาร สมชีวิตา กับพวก ไว้ชั่วคราว (เพิ่มเติม) จํานวน 1 รายการ พร้อมดอกผล มีกําหนดไม่เกิน 90 วัน อาศัยอํานาจตามความในข้อ 4 แห่งระเบียบคณะกรรมการธุรกรรมว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2559
“จึงขอให้ผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินจากการกระทําความผิดมูลฐานในรายคดีข้างต้นและไม่อาจดําเนินการเพื่อขอคืนทรัพย์สินหรือชดใช้คืนความเสียหายดังกล่าวได้ตามกฎหมายอื่นหรือดําเนินการตามกฎหมายอื่นแล้วแต่ไม่เป็นผล ยื่นคําร้องพร้อมหลักฐานแสดงรายละเอียดแห่งความเสียหายและจํานวนความเสียหายที่ได้รับ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สํานักงาน ปปง.ภายในกําหนดเวลา 30 วันนับแต่วันที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ตามแบบคําร้องเพื่อขอให้ศาลมีคําสั่งให้นําทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดไปคืนหรือชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายในความผิดมูลฐานซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.amlo.go.th
ประกาศ ณ วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559
สุริยา สุขสําราญ
พนักงานเจ้าหน้าที่ สํานักงาน ปปง.”
มีรายงานว่า เมื่อปี 2558 เลขาธิการ ปปง. โดยคณะกรรมการธุรกรรม มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราว จำนวน 14 รายการ ประกอบด้วย 1. เงินในบัญชีธนาคาร 6 บัญชี เงินในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ประเภท Cash balance บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และเงินในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ของนายสมมาตร เผ่าจินดา
2. เงินในบัญชีฝาก 1 บัญชี ของนายประสิทธิ์ วงศ์กิตติ อยู่ระหว่างการตรวจสอบ 3. หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) จำกัด หลักทรัพย์ DTM จำนวน 200,000 หุ้น หุ้นดังกล่าวออกจากตลาดหลักทรัพย์แล้วไม่มีราคาตลาด
หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด หลักทรัพย์ NUSA จำนวน 19,841 หุ้นราคาประเมิน 23,809.20 บาท (ณ วันที่ 16 ม.ค. 58) ราคาหุ้นละ 1.20 บาท
หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด หลักทรัพย์ NUSA-W1 จำนวน 3,968 หุ้น ราคาประเมิน 2,420.48 บาท (ณ วันที่ 16 ม.ค. 58) ราคาหุ้นละ 61 สตางค์
หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หลักทรัพย์ PICO จำนวน 57 หุ้น (กำลังตรวจสอบ) ทั้งหมดเป็นมีชื่อนายปาณสาร สมชีวิตา เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์
ล่าสุดมีอีก 1 บัญชีที่ ปปง.ได้ทำการอายัดไว้ชั่วคราว(เพิ่มเติม) จํานวน 1 รายการ พร้อมดอกผล มีกําหนดไม่เกิน 90 วัน
คดีนี้ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2557 ที่กองปราบปราม มีการแถลงผลจับกุม นายปาณสาร สมชีวิตา หรือมีน อายุ 33 ปี บุตรชายนายสันทัน สมชีวิตา คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (บอร์ดดีเอสไอ) และอดีตปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม อยู่บ้านเลขที่ 36 ซ.ปานทิพย์ 1 แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กทม. ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาฉ้อโกงประชาชน โดยจับกุมได้ที่หาดเจ้าสำราญ ต.เจ้าสำราญ อ.เมือง จ.เพชรบุรี
ก่อนหน้าวันที่ 3 ธ.ค. 2557 ได้มีผู้เสียหายกว่า 30 ราย เดินทางเข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อนายปาณสาร ซึ่งหลอกลวงว่ามีหุ้น IPO หรือหุ้นที่เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในครั้งแรกก่อนที่จะเข้าทำการซื้อขายที่ตลาดหลักทรัพย์ โดยอ้างว่า ได้รับการจัดสรรมาจากผู้มีอุปการคุณ จำนวน 3 ตัว คือ หุ้น 1. หุ้นบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CBG) 2. หุ้นบริษัท วิจิตรภัณฑ์ปาล์มออยล์ จำกัด (มหาชน ) (VPO) 3. หุ้นบริษัท เมืองไทยลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (MTLS) รายละกว่า 1 ล้านหุ้น ซึ่งผู้เสียหายเห็นว่ามีโอกาสทำกำไรได้ จึงหลงเชื่อโอนเงินให้ผู้ต้องหาไป รวมมูลค่าความเสียหายจำนวน 281 ล้านบาท
จากนั้นเมื่อถึงกำหนดวันเปิดตลาดผู้ต้องหาไม่สามารถโอนหุ้นเข้าไปในบัญชีของผู้เสียหายแต่ละคนได้ เมื่อถูกทวงถาม เจ้าตัวกลับบ่ายเบี่ยงอ้างว่าติดขัดในขั้นตอนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากนั้นก็อ้างอีกว่าถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. อายัดเงินไว้ เมื่อผู้เสียหายตรวจสอบกลับพบว่าโดนหลอกลวงหลายคนจึงรวมตัวเข้าแจ้งความ ต่อมาพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานก่อนเสนอหมายจับต่อศาลอาญา กระทั่งตามจับกุมได้ดังกล่าว
จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหาได้กระจายหุ้นผ่านโบรกเกอร์จำนวน 2 ราย จากการสอบถามก็รับว่าไม่มีหุ้นอยู่จริง มีเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ส่วนโบรกเกอร์จะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่นั้นก็จะสืบสวนสอบสวนขยายผล หากเกี่ยวข้องต่อการกระทำความผิดก็จะขออนุมัติหมายจับต่อไป ทั้งนี้ ผู้ต้องหายอมรับว่าทำมาแล้ว 2-3 ครั้ง เมื่อได้กำไรก็เอาเงินไปหมุน ทำให้เหยื่อตายใจว่ามีหุ้นอยู่จริง ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเงินที่ได้จากการกระทำความผิดว่าผู้ต้องหาถ่ายโอนไปไว้ที่ไหนบ้างเพื่อจะตามยึดมาเป็นของกลางต่อไป
คดีนี้ผู้เสียหายทราบว่า เคยซื้อขายหุ้นกับผู้ต้องหามา 3-4 ครั้ง จึงเกิดความเชื่อใจ โดยผู้ต้องหาเอาหุ้นตัวดังๆ มาขายและอาศัยว่าเป็นลูกนักการเมือง จึงสร้างความน่าเชื่อถือได้มาก ซึ่งในวันนี้มีผู้เสียหายประสานมาทางตนเพิ่มอีก 5 คน เชื่อว่าความเสียหายสูงถึง 500-600 ล้านบาท และเชื่อว่ายังมีอีกหลายรายที่ถูกหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว
ทั้งนี้ ในวันแถลงข่าว ผู้ต้องหารับปากว่ายินดีจะคืนเงินให้ผู้เสียหายทุกราย แต่ในส่วนของทางด้านคดีนั้นไม่สามารถยอมความกันได้ เนื่องจากเป็นความผิดในคดีอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน
ขณะที่นายปาณสาร ผู้ต้องให้การเพียงสั้นๆ ว่า ยอมรับว่ากระทำผิดจริง แต่ตั้งใจจะชดใช้เงินเคลียร์แก่ผู้เสียหายทุกราย ส่วนยอดเงินที่ตนได้ไปจากผู้เสียหายก็ประมาณ 200 กว่าล้านบาท จะรีบหามาชดใช้ให้ทุกราย
นอกจากนั้นยังเข้าจับกุม นายสมมาตร เผ่าจินดา อายุ 35 ปี ในข้อหาฉ้อโกง หลอกขายหุ้น IPO มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท โดยมีหลักฐานข้อความที่แชตสนทนาผ่านโปรแกรมไลน์ระหว่างกลุ่มผู้เสียหายกับนายสมมาตร โดยจับกุมได้ที่อาคารผู้โดยสารฝั่งขาออกภายในประเทศ สนามบินสุวรรณภูมิ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2558 โดยนายสมมาตรยังแอบอ้างว่าเป็นญาติ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยด้วย