โฆษกรัฐบาล ระบุรัฐบาลเห็นชอบยุทธศาสตร์ชาติแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาเพื่อขับเคลื่อนมาตรการทั้งระบบตามแนวทางประชารัฐ นายกฯ มอบ สธ.จัดทำแผนปฏิบัติการ ตั้งเป้าปี 2564 ผู้ป่วยเชื้อดื้อยาลดลงร้อยละ 50 พร้อมทั้งเร่งขยายการแพทย์ทางเลือกให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เพื่อเป็นทางเลือกแก่ประชาชน
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพไทย พ.ศ. 2560-2564 ของกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติเพื่อยกระดับการทำงานให้สามารถหยุดยั้งปัญหาเชื้อดื้อยาทั้งประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตกว่า 38,000 รายต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาต้านจุลชีพ หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อยาปฏิชีวนะ สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงทั้งในภาคเศรษฐกิจและสังคม คนเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย หรือเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เช่น การผ่าตัดก็อาจติดเชื้อที่ดื้อยาปฏิชีวนะและเสียชีวิตได้ โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้เชื้อดื้อยา คือ การใช้ยาปฏิชีวนะกว่าร้อยละ 90 ในไทยเป็นไปอย่างไม่เหมาะสม ประชาชนหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป โดยไม่ต้องพบแพทย์ จึงใช้ยาบ่อยกว่าที่ควรและไม่ครบตามปริมาณยา (โดส) ที่ควรใช้เพื่อกำจัดเชื้อโรคในร่างกายแต่ละครั้ง นอกจากนี้ จำนวนชนิดของยาปฏิชีวนะยังมีน้อย และพัฒนาไม่เท่าทันกับวิวัฒนาการของเชื้อโรค รวมถึงมีการนำยาปฏิชีวนะไปใช้กับภาคเกษตรกรรม เช่น การรักษาโรคพืชและสัตว์ ยิ่งมีการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสมมากเท่าใด เชื้อยิ่งปรับตัวให้ทนทานต่อยาได้เร็วเท่านั้น จึงพบเชื้อดื้อยาแพร่กระจายไปทั่ว ทั้งในคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม”
พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เร่งจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อให้ทุกหน่วยงานดำเนินการได้ตามแผนยุทธศาสตร์ โดยขับเคลื่อนการทำงานทั้งองคาพยพ ทั้งการให้ความรู้แก่ประชาชน สร้างระบบควบคุมการใช้ยาอย่างเหมาะสมทั้งสำหรับคนและสัตว์ สร้างความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาการจัดการเชื้อดื้อยา ให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันดำเนินการอย่างเร่งด่วนและจริงจังตามแนวทางประชารัฐ โดยตั้งเป้าว่าในปี 2564 จะมีการเจ็บป่วยจากเชื้อดื้อยาลดลงร้อยละ 50 และประชาชนจะมีความรู้เรื่องเชื้อดื้อยาและตระหนักว่าจะต้องใช้ยาอย่างเหมาะสมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20
“ท่านนายกฯ อยากให้ประชาชนหันมาใช้ยาแผนไทยให้มากขึ้น และได้ติดตามการขยายบริการทางการแพทย์แผนไทยเพื่อให้บริการคู่ขนานกับการแพทย์แผนปัจจุบันมาโดยตลอด ฝากกำชับ สธ. เร่งขยายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่และให้เพียงพอกับจำนวนผู้ป่วยเพื่อเป็นทางเลือกแก่ประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีการผลิตบุคลากรใน 27 สถาบัน ปีละกว่า 1,000 คน มีใบประกอบวิชาชีพที่ควบคุมจากสภาการแพทย์แผนไทยว่าสามารถวินิจฉัยโรคและจ่ายยาได้เช่นเดียวกับแผนปัจจุบัน อีกทั้งรัฐบาลยังได้กำหนดให้ยาแผนไทยซึ่งทำจากสมุนไพรไทยบรรจุในตำรับยาหลักของชาติ โดยมีประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการประกาศกำหนดตำรับยาและตำรับการแพทย์แผนไทยของชาติรองรับ จึงมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยและสามารถรักษาโรคได้อย่างแน่นอน”