กกต.แจงปัจจุบันทำงานเป็นบอร์ดอยู่แล้ว แต่แบ่งการทำงานเพื่อความสะดวกบริหารงาน ไม่ออกความเห็น “สมชัย” บอกเลือกตั้ง 10 ธ.ค. 60 เผยใบส้มพิจารณาได้ 2 ช่วงก่อนเลือกตั้ง ก่อนประกาศผล อุดช่องว่างกันเลือกตั้งใหม่ผลาญงบ พร้อมชงให้ พนง.สอบสวน กกต.มีอำนาจออกหมายเรียก-ค้น-อายัด เพิ่มโทษโกงเลือกตั้ง แนะเปิดช่องทบทวนโทษแบบตลอดชีพหากมีหลักฐานใหม่
วันนี้ (18 ส.ค.) นายบุญส่ง น้อยโสภณ กรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. กล่าวถึงกรณีที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. เตรียมเสนอให้ กกต.ทำงานในรูปแบบของบอร์ดแทนการแบ่งงานเป็นด้านว่า ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นงานบริหารหรืองานวินิจฉัยชี้ขาดคดีก็วินิจฉัยในรูปแบบของบอร์ดอยู่แล้ว ไม่เคยมีกฎหมายหรือระเบียบที่กำหนด กกต.ออกเป็นด้าน แต่ที่ผ่านมาที่มีการแบ่งการทำงานก็เพื่อต้องการอำนวยความสะดวกในการบริหารงานเท่านั้น ส่วนกรณีที่เตรียมเสนอให้วันที่ 10 ธ.ค. 2560 เป็นวันเลือกตั้งนั้นไม่ขอออกความเห็นเพราะจะเป็นการล่วงอำนาจ เนื่องจากต้องรอกระบวนการร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. ซึ่งทุกอย่างมีกรอบเวลากำหนดไว้ทุกอย่างแล้ว ทั้งนี้ การกำหนดวันเลือกตั้งนั้นยังไม่แน่นอน คาดว่าเป็นเพียงการกำหนดโรดแมปที่จะต้องเตรียมความพร้อม
นายบุญส่งกล่าวถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ที่ระบุอำนาจในการตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือใบส้ม ว่ากรณีการให้ใบส้ม กกต.สามารถพิจารณาได้ 2 ช่วง คือ ก่อนวันเลือกตั้ง หากพบการกระทำที่ส่อว่าทุจริตในการเลือกตั้ง และก่อนประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง หากพบว่ามีการทุจริตและเชื่อมโยงไปยังผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกระบวนที่แยกจากพิจารณาของศาลว่าจะให้ใบแดงกับผู้สมัครหรือไม่ ทั้งนี้เพื่ออุดช่องว่างก่อนการเลือกตั้งเพื่อที่จะได้ไม่เกิดการเลือกตั้งใหม่ ที่อาจจะสูญเสียงบประมาณ
“เพื่อให้สอดรับกับรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการอออกเสียงประชามติ กกต.ได้เสนอความเห็นในประเด็นสำคัญๆ อาทิ พนักงานสอบสวนของสำนักงาน กกต.เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีอำนาจออกหมายเรียก ตรวจค้น ยึด หรืออายัดเอกสาร หรือพยานหลักฐานที่ใช้ในการกระทำความผิดกฎหมาย การคุ้มครองพยานในคดีเลือกตั้งและการกันบุคคลเป็นพยาน การจ่ายรางวัลนำจับกับผู้ชี้เบาะแส การเพิ่มโทษผู้กระทำความผิดให้สูงขึ้น และให้อำนาจศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา มีคำพิพากษาหรือ คำสั่งให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่ และกำหนดให้ผู้ที่ไม่ชำระค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้เป็นผู้ต้องห้ามไม่ให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วย” นายบุญส่งกล่าว
นายบุญส่งยังเสนอแนะไปยังกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ถึงประเด็นโทษการกำหนดโทษเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตลอดชีวิตในคดีทุจริตเลือกตั้ง ว่าอยากให้กำหนดเพิ่มเติมในกฎหมายของศาลยุติธรรมว่าในคดีเลือกตั้งให้สามารถทบทวนคำพิพากษาที่ศาลได้พิจารณาไปแล้วได้ หากปรากฏว่ามีหลักฐานพยานใหม่ชัดเจนว่าผู้ที่ถูกตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิตนั้น ถูกกลั่นแกล้งจากการเบิกความเท็จของพยาน เพราะถือว่าโทษดังกล่าวเป็นโทษที่มีความรุนแรง ดังนั้นควรให้สิทธิในการต่อสู้คดีอีกครั้งให้แก่ผู้ที่ถูกตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิตหากพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้กระทำผิดจริง