เมืองไทย 360 องศา
“ด้วยรัฐธรรมนูญใหม่นี้ประเทศได้ก้าวถอยหลังและถอยหลังจากเส้นทางประชาธิปไตย”
นั่นเป็นคำพูดของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกคลื่นมหาชนประท้วงขับไล่ และน้องสาวของทักษิณ ชินวัตร ที่กล่าวกับสื่อต่างประเทศหลังจากพ่ายแพ้ผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม หลังจากเธอและพี่ชายของเธอรวมทั้งผู้สนับสนุนต่างรณรงค์ให้ไม่รับร่างดังกล่าว
เมื่อผลออกมากว่าร้อยละ 61 เห็นชอบหรือรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผลักดันโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขณะที่เสียงปฏิเสธหรือไม่รับมีเพียงแค่กว่าร้อยละ 38 เท่านั้น โดยมีผู้ออกมาใช้สิทธิลงคะแนนกว่าร้อยละ 55 ซึ่งก็ถือว่าออกมาใช้สิทธิเกินครึ่ง ก็พอกล้อมแกล้มได้ว่านี่คือเสียงส่วนใหญ่
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่จะได้เห็นปฏิกิริยาที่แสดงอาการผิดหวัง โวยวายพยายามกล่าวโทษฝ่ายตรงข้าม พยายามอ้างว่าเป็นการลงประชามติที่ไม่เป็นมาตรฐานสากล และที่สำคัญก็คือการ “ฟ้องกับต่างประเทศ” โดยเฉพาะพวกตะวันตก
อย่างไรก็ดี นั่นคือความพยายามดิ้นรนฟูมฟายตีอกชกตัว เมื่อทุกอย่างผิดไปจากความคาดหมายอย่างใหญ่หลวง ชนิดที่เรียกว่าไม่คาดคิดแบบนี้มันก็ย่อมเกิดอาการช็อกอย่างที่เห็น
ผลการลงประชามติดังกล่าวไม่ใช่แต่พวก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เท่านั้นที่ช็อก และคาดไม่ถึง ยังหมายรวมถึงบรรดานักการเมืองจากพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งนักเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ ก็ไม่คาดว่าผลจะออกมาแบบนี้ เพราะหากพิจารณาจากฐานเสียงเดิมของทั้งสองพรรคใหญ่คือ พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศพร้อมใจกัน “คว่ำ” ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับพรรคเพื่อไทยย่อมมีฐานเสียงหลักอยู่ที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ขณะที่ประชาธิปัตย์อยู่ที่ภาคใต้กับกรุงเทพมหานคร แต่เมื่อผลที่ออกมากลับพบว่าในภาคเหนือกับภาคอีสานแม้ว่าโหวตไม่รับ แต่คะแนนสูสีมาก มิหนำซ้ำหลายจังหวัดกลับโหวตสวนคือรับหรือเห็นชอบเฉยเลย
ขณะที่ภาคใต้กับกรุงเทพมหานครนั้นไม่ต้องพูดถึงเห็นชอบกันถล่มทลาย แม้ว่าจะมีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้นที่ไม่รับร่างและคำถามพ่วง แต่ก็พออธิบายได้ว่าการเมืองในพื้นที่ดังกล่าวนั้นแปลกแยกออกไปต่างหากมานานแล้ว เพราะไม่มีความแน่นอนมาตั้งแต่เดิมอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งผลที่ออกมาแบบนี้มันก็ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากระแสการสนับสนุนที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยรวม ชาวบ้านยังมีความศรัทธาและเชื่อมั่นโดยเฉพาะความต้องการให้บ้านเมืองมีการปฏิรูปตามโรดแมป
ผลการโหวตคราวนี้ยังชี้ให้เห็นว่าชาวบ้านส่วนใหญ่รังเกียจนักการเมือง ไม่ให้เครดิตมองว่าพวกเขานั่นแหละคือตัวถ่วงของบ้านเมือง ชาวบ้านมองเห็นภาพการทุจริต มีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ซึ่งทำให้เกิดผลโหวตดังกล่าวออกมา เพราะหากย้อนกลับไปพิจารณาเปรียบเทียบสิบยี่สิบปีก่อนในช่วงที่เกิดรัฐธรรมนูญปี 40 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 50 ตอนนั้นกระแสประชาธิปไตยเลือกตั้งมาแรงมาก กระแสนายกฯ จากการเลือกตั้ง (ส.ส.) ต้องมาก่อน ขณะที่กระแสรังเกียจเผด็ดการทหารในยุคนั้นก็แรง ดังนั้นเรื่องนายกฯคนนอกถือว่าไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึงมากนัก ซึ่งผิดกับยุคปัจจุบันที่ตรงกันข้าม
เมื่อพูดถึงความเชื่อมั่น ความนิยมต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สูงมีผลสำคัญต่อการโหวตเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่วนทางกับความนิยมของฝ่ายนักการเมือง โดยเฉพาะการเมืองในกลุ่มของทักษิณ ชินวัตร ที่มีแนวโน้มมีอนาคตที่ดับวูบชัดเจน นอกเหนือจากประเด็นจากคุณสมบัติต้องห้ามในรัฐธรรมนูญที่ทำให้พวกเขาต้องจบบทบาทลงไปจากประวัติคดีทุจริตติดตัวในอดีตแล้ว ยังมีผลต่อการดำเนินคดีที่เป็นอยู่ที่คาดว่าจะต้อง “เดินหน้าเต็มตัว” เพราะพิจารณาจากผลโหวต มันก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.มั่นใจมากขึ้น มั่นใจในฐานสนับสนุนที่มีอยู่ข้างหลัง
ขณะเดียวกัน เมื่อพูดถึงอนาคตทางการเมืองเปรียบเทียบกัน เมื่อร่างรัฐธรรมนูญที่รวมเอาบทเฉพาะกาล 5 ปีที่ให้ ส.ว.มาจากการแต่งตั้ง 250 คนคำถามพ่วงที่ให้ร่วมโหวตเลือกนายกฯ จากคนนอกได้ มันก็ย่อมมองเห็นอนาคตรำไรแล้วว่าหลังการเลือกตั้งตามโรดแมปในปี 60 ว่าจะมีโฉมหน้าอย่างไร
ดังนั้น ถึงได้บอกว่าอย่าได้แปลกใจที่คนในครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร จะต้องร้องจ๊ากเมื่อรัฐธรรมนูญผ่านประชามติและมีผลบังคับใช้ เพราะไม่ต่างจากถูกประหารชีวิตทางการเมือง นั่นแหละ!