หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทบทวนชีวิตในวันเกิด มีหลายสิ่งยังไม่ได้ทำ ขอสานฝันให้เป็นจริง สวน “มีชัย” ให้พรรครับผิดหากร่างฯ ไม่ผ่าน ชี้ฝ่ายการเมืองต้องร่วมมือร่างให้ดีกว่าเดิม เชื่อประธาน กรธ.ตั้งใจทำแต่ไม่เป็นดังหวัง ถ้าร่างไม่ผ่านแสดงว่าชาวบ้านไม่ถูกใจ ให้ “ประยุทธ์” ไปหาวิธีทำใหม่ สร้างอนาคตที่ดีกว่า รับของใหม่แก้ยาก ยันแถลงไม่รับร่างฯ ตามอุดมการณ์การเมือง ขอทุกคนออกไปใช้สิทธิ บอกไม่มีปัญหากับ กปปส.แค่คิดต่างเรื่องร่าง รธน. ย้อน กรธ.ดูฉบับ 40, 50 พอถึงเวลาจริงไม่เป็นอย่างที่คิดไว้
วันนี้ (3 ส.ค.) ที่วัดวรจรรยาวาส นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาทำบุญเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 52 ปี โดยภายหลังจากที่ทำพิธีเสร็จสิ้น นายอภิสิทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ถือเป็นวันคล้ายวันเกิดและได้มีโอกาสมาทบทวนชีวิตตัวเอง คิดว่าประมาณครึ่งชีวิตที่ได้อุทิศให้แก่วงการการเมืองถือเป็นการสานฝันที่มีมาตั้งแต่ในวัยเด็กว่าอยากจะทำอะไรให้บ้านเมือง ให้บ้านเมืองมีการพัฒนา หลุดพ้นจากความขัดแย้ง ประชาชนกินดีอยู่ดี แม้จะได้ทำงานการเมืองกว่า 20 ปี แต่มีหลายสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ จึงยังมีหน้าที่ที่ต้องทำความฝันให้เป็นจริง ตนจะยึดความคิดตัวเองเป็นใหญ่ไม่ได้ แต่มีความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองและยึดถือในแนวทางประชาธิปไตย ในวันนี้มีหลายสิ่งไม่เป็นไปตามที่ฝันเอาไว้ การลงประชามติในวันที่ 7 ส.ค.จึงเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องตัดสินใจในการจะทำให้บ้านเมืองเดินไปสู่การพัฒนาได้ ประชาชนต้องมีส่วนร่วม ปัจจุบันโลกและสังคมเรามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จึงถึงเวลาที่เราจะต้องมาทบทวนตรงนี้
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ส่วนที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์ว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติ พรรคการเมืองที่ออกมาประกาศจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญต้องรับผิดชอบนั้น ตนคิดว่าความรับผิดชอบก็คือฝ่ายการเมืองต้องให้ความร่วมมือในการให้ได้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ดีกว่าเดิม การแสดงจุดยืนของตนและอีกหลายคนก็ยังยึดตามโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หาก คสช.ตั้งใจว่าจะใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ไม่ต้องทำประชามติ เพราะการทำประชามติคือการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม หากประชาชนแสดงจุดยืนว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คสช.ก็ต้องหาวิธีให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีกว่านี้โดยร่วมกับฝ่ายการเมือง
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อว่า ตนก็ไม่ได้เรียกร้องว่าร่างรัฐธรรมนูญต้องผ่านประชามติหรือไม่ และยังเข้าใจว่านายมีชัยมีเจตนาดี แต่ยังเชื่อว่าความเชื่อของนายมีชัยและสิ่งที่นายมีชัยตั้งใจจะทำจะไม่เป็นไปดังที่นายมีชัยได้ตั้งความหวังไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาประเทศ และการลดความขัดแย้ง และไม่มีความจำเป็นที่จะไปตอบโต้ แต่ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนา ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านก็แสดงให้เห็นว่าประชาชน ยังไม่ถูกใจกับร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับที่ออกมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้ที่ต้องรับผิดชอบเดินหน้าบริหารประเทศต่อไปคงต้องกลับไปทบทวนว่าจะทำอย่างไรต่อไปให้ได้สิ่งที่ดีกว่าเดิม และทุกคนก็ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในกลไกนี้ด้วย
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการทำประชามติ พวกตนก็คงต้องยึดถือตามกติกาต่อไป แต่สิ่งที่พวกตนเป็นห่วงก็เพราะเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ไขยากมาก แตกต่างจากฉบับเดิม เมื่อ กรธ.ร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขยากก็ต้องมั่นใจว่าเป็นฉบับที่ดี หลังจากที่ตนได้ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น ก็ได้รับฟังทุกความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ขอเรียนว่าพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีความเป็นสถาบันการเมือง มีความเป็นประชาธิปไตยสูง แต่ขณะนี้การจะออกไปรณรงค์ก็ไม่สามารถทำได้ ตัวเองก็ย้ำมาตลอดว่าการลงประชามติวันที่ 7 ส.ค.นั้นไม่ใช่ว่าเป็นการแสดงออกว่าชอบใครหรือไม่ชอบใคร แต่ขณะนี้เรากำลังจะแสดงความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายสูงสุดของประเทศ ปัญหาของทางพรรคนั้นถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ
ส่วนสมาชิกที่มีความเห็นต่างจะถือว่าไม่ทำตามอุดมการณ์ของพรรคได้หรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่ต้องมีคนเห็นต่าง เพราะอาจมองถึงสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน สิ่งที่แถลงไม่ได้เป็นความเห็นส่วนตัวแต่ต้องยึดความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นสถาบันการเมืองที่ต้องยึดอุดมการณ์ทางการเมือง ทุกเรื่องมีความเกี่ยวพันกันอย่าไปมองแบบแยกส่วน ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองหรือนักการเมือง แม้จะมีคนที่ไม่ชอบ แต่พรรคการเมืองและนักการเมืองก็จะต้องคงอยู่ และหากคำถามพ่วงการทำประชามติได้รับความเห็นชอบ วุฒิสภาก็เป็นเสมือนอีกพรรคการเมืองหนึ่ง เป็นนักการเมืองโดยทันที จึงต้องคิดว่าพรรคการเมืองและนักการเมืองมีไว้ทำไม คือเป็นตัวแทนให้ประชาชน ถ้านักการเมืองยังไม่ดีก็ต้องปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่านี้ ยังไงก็หนีระบบไม่พ้น การปฏิเสธพรรคการเมืองหรือนักการเมือง จะทำให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยเดินหน้าไปได้อย่างไร เราต้องย้อนไปศึกษาบทเรียนจากทั้งในประเทศและทั่วโลกว่าหากประชาชนขาดการมีส่วนร่วมในทางการเมืองสุดท้ายผลจะลงเอยอย่างไร ยอมรับว่าเมื่อเกิดปัญหาวุ่นวายก็ต้องมีการออกมาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และไม่ขัดข้องหาก คสช.จะบริหารบ้านเมืองต่อไปจากวันนี้จนถึงวันเลือกตั้ง แต่เรียนว่าเรื่องนี้เป็นละประเด็นกับอนาคตของประเทศ
“อยากให้ทุกคนออกไปใช้สิทธิ เพราะกฎหมายก็เขียนไว้แล้วว่าจะมีคนออกไปใช้สิทธิมากหรือน้อยไม่ใช่ประเด็นเพราะนับคะแนนเฉพาะคนที่ไปใช้สิทธิ หากเสียงรับร่างรัฐธรรมนูญผ่านแค่คะแนนเดียวก็มีผลแล้ว แม้หลายคนจะรู้สึกว่ากระบวนออกเสียงประชามติไม่เป็นธรรมแต่การไม่ออกไปใช้สิทธิก็ไม่ได้ไปลดผลกระทบที่จะตามมาหากร่างรัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) ออกมาเป่านกหวีดเชิญชวนประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิ นายอภิสิทธิ์บอกว่า การเชิญชวนเพื่อให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเป็นสิ่งที่ควรทำ การที่รัฐบาลกังวลว่าจะมีความวุ่นวายนั้นตนยังไม่เห็นว่าจะมีการเป่านกหวีดแต่อย่างใด คงไม่มีใครต้องการทำให้เกิดความวุ่นวาย และตนก็ยังไม่เคยเห็นว่า กปปส.ต้องการสร้างความวุ่นวายแต่อย่างใด เห็นแต่ กปปส.ออกมาเรียกร้องจะทำอย่างไรทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ ขอยืนยันว่าตนไม่เคยมีปัญหากับ กปปส.แต่อย่างใด แค่คิดต่างจาก กปปส.ในเรื่องจุดยืนรับร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความเห็นกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาประกาศกับประชาชนว่า วันที่ 7 ส.ค.นั้นจะเป็นการเลือกระหว่างอนาคตที่ไม่แน่ชัดกับอดีตที่ขมขื่น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อดีตนั้นเปลี่ยนไม่ได้แต่อนาคตนั้นเปลี่ยนได้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ที่มีโอกาสจะเปลี่ยนแปลงอนาคตได้มากกว่าคนอื่น สิ่งที่ตนแสดงจุดยืนไปคือการให้โอกาส พล.อ.ประยุทธ์ได้สร้างอนาคตที่ดีกว่าที่นายมีชัยพยายามทำ ตนไม่ได้บอกว่าสิ่งที่นายมีชัยทำนั้นไม่ดี แต่บอกว่าน่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้ พล.อ.ประยุทธ์นั้นอยู่ในสถานะที่จะทำได้ อนาคตนั้นเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนอยู่แล้ว ที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญบอกว่าใช้รัฐธรรมนูญแล้วจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอถึงเวลาจริงๆ อาจจะไม่เป็นอย่างที่ว่าก็ได้ บทเรียนจากรัฐธรรมนูญปี 2540-2550 ก็เคยมีให้เห็นแล้วครั้งหนึ่ง