ป้อมพระสุเมรุ
มาตามนัดกับแคมเปญเรียกร้องความสนใจ หลังก่อนหน้านี้ หลายฝ่ายจับตาว่า งานแฮปปี้เบิร์ธเดย์ 67 ปี “นายใหญ่” แห่งค่ายเพื่อไทย “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 26 กรกฎาคม จะมีการเคลื่อนไหวสำคัญอะไร เพราะตรงพอดิบพอดีกับช่วงโค้งสุดท้ายของการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับซือแป๋ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)
สำหรับบทเพลงของเธอที่ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นน้องสาวในไส้ลงทุนขับร้องเอง พร้อมตัดต่อฉากดรามา ในลักษณะพี่ไปไหนในโลกก็ได้ ยกเว้นประเทศไทย ในขณะที่น้องไปทุกที่ในประเทศไทยได้ยกเว้นต่างประเทศ
อารมณ์ คนในอยากออก คนนอกก็อยากเข้า
ใครไม่เป็นทั้งคู่ ไม่รู้หรอก พี่น้องต้องพลัดพราก อดพบอดเจอ เพราะ “พิษรัฐประหาร” ต่างกันแค่คนละหน ซีนนี้ทำเอาเกิดฉากดรามา แม่ยกแฟนคลับร่ำไห้กันระงมตอนดูมิวสิกวิดีโอที่น่าตั้งอกตั้งใจตัดต่อเตรียมตัวกันมาอย่างดี ก่อนบอกรักกันผ่านหน้าจอ
“พี่ษิณ” แอกติ้งระดับเทพ เค้นน้ำตาขยี้อารมณ์กันแบบสด ๆ จนเรียกได้ว่า ละครฉากสั้น ๆ ฉบับนี้ กระชาก “ต่อมสงสาร” จากมวลชนคนเสื้อแดงได้เต็มเปา ส่วนอีกฟากฝั่งก็มองเป็นแค่ “ซีนน้ำเน่า” คั่นเวลาละครฉากใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้
ที่แน่ ๆ เลย เช้าวันรุ่งขึ้นสื่อทุกสำนัก ไม่ว่าจะต้านจะหนุน ลงทั้งภาพ ลงทั้งเนื้อหา โลกโซเชียลพากันพูดถึง ตรงตามความตั้งใจของ “ชินวัตร โปรดักชัน” เต็ม ๆ ยึดเรียบพื้นที่สื่อ แม้จะโดนอดีตลูกพรรคตัวแสบอย่าง เปรมศักดิ์ เพียยุระ สร้างข่าวฉาวมาแบบผิดคิว ขโมยซีนไปได้พอสมควร
ไม่ถึงขั้นปูพรมกินรวบ แต่ผลงาน “ชินวัตร โปรดักชัน” ก็ยังเปี่ยมคุณภาพในแง่พื้นที่สื่อตามแบบฉบับ “ทักษิณ” ที่ถนัดนักกับเรื่องแบบนี้
งานแฮปปี้เบิร์ธเดย์ “นายใหญ่” ทุกปีถูกจับตามองมาตลอดว่า ต้องมีเรื่องคอมเมนต์ลอดประตูหน้าต่างออกมายั่วประสาท “ฝ่ายตรงข้าม” โดยเฉพาะกับยุครัฐบาลทหาร ตั้งแต่ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) หลังรัฐประหาร 2549 มาจนช่อง 2 ปีเศษของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ผ่านวันคล้ายวันเกิด “ทักษิณ” มาแล้ว 3 หน
หนนี้แปลกไปหน่อยตรงที่ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องการเมือง หรือวิพากษ์วิจารณ์ คสช. เหมือนปีที่ผ่าน ๆ มา โดยก่อนหน้านั้น ก็ใช้พื้นที่สื่อในเครือข่ายปล่อยข่าวออกมาสั้น ๆ ในทำนอง “ทักษิณ” ขอโลว์โปรไฟล์ ไม่อยากกระตุ้นความขัดแย้ง ทำลายบรรยากาศการออกเสียงประชามติที่กำลังงวดเข้าวันพิพากษาไปทุกขณะ แต่ก็ทำให้มวลชน - ลิ่วล้อที่หลับใหลพอรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาบ้าง
อย่างที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. พูดเอาไว้ก่อนหน้าวันเกิด “ทักษิณ” ถึงสาเหตุที่คนจะไม่ออกมาใช้สิทธิ์ในวันที่ 7 สิงหาคม มีอยู่ที่ 3 ปัจจัย คือ 1. ไม่รู้เรื่อง 2. ไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ และ 3. ไม่รู้ว่าไปเลือกแล้วจะเกิดประโยชน์อะไร
ทฤษฎีข้อแรก “บิ๊กตู่” ที่ว่า คนที่ไม่รู้เรื่อง ก็คือ คนส่วนใหญ่ในประเทศที่ไม่ค่อยสนใจการเมือง หรือไม่รู้ว่าการทำประชามติคืออะไร ไม่ได้ใส่ใจเหมือนกับการเลือกตั้ง ขณะที่ข้อ 2 คนที่ไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นมวลชนของพรรคเพื่อไทย และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ไม่ชอบรัฐบาลทหาร ไม่อยากให้ความร่วมมืออะไรกับรัฐทั้งสิ้น จึงไม่ออกมาใช้สิทธิ
ส่วนข้อ 3 ไม่รู้ว่าไปลงคะแนนแล้วจะเกิดประโยชน์อะไร คนกลุ่มนี้ก็ถือเป็นคนกลาง ๆ ตามการเมืองบ้าง ไม่ตามการเมืองบ้าง ไม่เข้าใจว่าผลผ่านหรือไม่ผ่านออกมาจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศ ตั้งหน้าทำมาหากินดีกว่า
ตรงกันข้ามกับฝ่ายที่เห็นชอบ คนเหล่านี้รับรู้กันดีว่า เป็นกลุ่มที่เกลียด “ระบอบทักษิณ” หรือเป็นคนที่เคลิ้มกับแคมเปญรัฐธรรมนูญ “ปราบโกง” ที่ คสช. และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ตีปี๊บมาตลอด คิดว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณได้ ก็จะพร้อมใจกันออกมาแสดงพลังมา กๆ
ขณะที่ พรรคเพื่อไทย และ นปช. ที่แม้ผลคะแนนจากการเลือกตั้งหลาย ๆ ครั้ง ที่ผ่านมา จะการันตีว่า เลือกตั้งกี่ครั้งก็ยังชนะ แต่จู่ ๆ จะมาเทียบเป็นบัญญัติไตรยางค์ในเวทีประชามติก็คงไม่ได้ เพราะเป้าหมายต่างกัน โดยเฉพาะการที่ความสนใจของประชาชนมีน้อย มวลชนตัวเองก็ไม่ได้มีแรงจูงใจที่จะออกมา คว่ำร่างรัฐธรรมนูญไปก็ใช่ว่า จะนำพาไปสู่ชัยชนะ ไม่เหมือนการเลือกตั้งที่เห็นจะจะใครได้แต้มก็ครองอำนาจ จัดตั้งรัฐบาล นำนโยบายประชาธิปไตยกินได้ไปประเคนกันถึงหน้าบ้าน
หลายฝ่ายวิเคราะห์กันไปในทางเดียว ว่า 7 ส.ค. นี้ ถือจุดชี้เป็นชี้ตายของทั้ง “ฝ่ายทักษิณ” และ “ฝ่ายทหาร” ที่หน้าฉากต่างก็แสดงความมั่นอกมั่นใจให้เห็น แต่หลังฉากกลับมีข่าวว่า หวาดหวั่นกันทั้งคู่ ฝ่ายทหารแม้อยู่ในจุดที่ได้เปรียบกว่า ครองอำนาจมา 2 ปีกว่า กดทับจนทีมงานฝ่ายทักษิณกระดิกกระเดี๊ยวลำบาก และผลสำรวจในทางลับก็แบเบอร์นอนมา แต่ก็รู้ดีว่าร่างรัฐธรรมนูญที่นำไปให้ประชาชนตัดสินนั้น “จุดอ่อน” เพียบ และด้วยการทำงานสไตล์ทหารที่ต้องประเมินให้รอบด้านก็ต้องไม่ประมาท
ขณะที่ฝ่ายทักษิณเอง รู้ตัวว่าเป็นรองทุกประตู เจอปิดปาก ล็อกแขนขาไม่ให้ขยับ ได้แต่มองทีมงาน คสช. เร่หาเสียงป่าวประกาศข้อดีข้อเด่นของร่างรัฐธรรมนูญตาปริบ ๆ ในขณะที่การโหมโปรโมตซัดไปที่จุดอ่อนของร่างรัฐธรรมนูนนั้น แทบจะทำไม่ได้เลย เพราะทั้งประกาศ คสช. หรือ พ.ร.บ. ประชามติ วางกับดัก - บทลงโทษแสนโหดไว้รอท่า
คนระดับ “ทักษิณ” คงประเมินออกว่า โอกาสที่ร่างรัฐธรรมนูญจะถูกคว่ำนั้นมีน้อย เนื่องจากกลไกต่าง ๆ ถูก คสช. บล็อกเอาไว้หมด ชนิดกระดุกกระดิกไม่ได้ “พีซทีวี” สื่อเสื้อแดงที่เป็นช่องทางสื่อสารไปถึงมวลชนก็จะโดนจอดำ แต่จะให้ทะเล่อทะล่าออกมาเลยก็เกรงจะ “เสียของ” รอดูทิศทางลมโค้งสุดท้าย แล้วค่อยออกโรงมาเขย่าช่วงทางตรงก่อนเข้าเส้นชัยก็ยังไม่สายเกินไป ส่วนที่ปล่อย ๆ ออกมาว่า ทำตัว “โลว์โปรไฟล์” ก็แค่หลอกกันให้ตายใจ
เช่นเดียวกับ “น้องปู” ที่เกาะกระแสประชามติเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเรื่อย ล่าสุด ก่อนวันเกิดพี่ชาย ก็ประกาศผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เชิญชวนให้คนออกมาใช้สิทธิเยอะ ๆ เน้นคำท้าย ๆ ว่า “เพื่อประชาธิปไตย” ภาษาวัยรุ่นคงต้องบอกว่าโพสต์ “มุ้งมิ้ง” ไม่สะใจคอการเมืองเท่าไร
แต่เมื่อถอดรหัสแล้วก็พอเข้าเค้าอยู่บ้าง เหมือน “ยิ่งลักษณ์” พยายามเปรียบให้เห็นว่า ประชามติ 7 ส.ค. นี้ เป็นการต่อรู้ระหว่าง “รัฐบาลทหาร” ซึ่งไม่ใช่ประชาธิปไตย กับพรรคเพื่อไทย และ นปช. ที่เคลมตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด
ช่วงโค้งสุดท้ายว่าน่าสนใจแล้ว แต่ช่วงทางตรงก่อนเข้าเส้นชัยนี่น่าสนใจกว่า งานนี้ต้องรอดู ช่วงสัปดาห์หน้าสองศรีพี่น้อง “แม้ว - ปู” จะขับเคลื่อนอะไรต่อไป หลังประเมินปฏิกิริยาควันหลงมิวสิกวิดีโอสุดดรามาแห่งปีไปแล้ว มวลชนที่หลับใหลมีผลตอบรับอย่างไร กระแสไม่รับร่างรัฐธรรมนูญโดยใช้วาทกรรมทวงคืนประชาธิปไตยจะได้ผลหรือไม่
แกนนำโดนรูดซิปปาก กระแสจุดไม่ติด วิชามารโดนกวาดล้าง คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยามนี้
อย่างคิวล่าสุด บุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ ก็โดนดาบอาญาสิทธิ์มาตรา 44 สั่งพักงานจนกว่าการตรวจสอบจะเสร็จสิ้น หลังตรวจพบซองจดหมายที่คล้ายกับที่แผ่นพับที่มีเนื้อหาโจมตีร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งก่อนหน้านั้น พบว่า มีการส่งทางไปรษณีย์ที่ จ.เชียงใหม่ ลำปาง และ ลำพูน ในห้องทำงานและบริษัทตัวเอง
พร้อมกับรายงานข่าวว่า ฝ่ายตำรวจเตรียมขออนุมัติหมายจับนักการเมือง 5 คน ที่อาจจะมี “ระดับชาติ” รวมอยู่ด้วย ซึ่งมีพยานหลักฐานบ่งชี้ว่ามีส่วนพัวพันอยู่เบื้องหลังขบวนการ จดหมายบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญ ป่วนประชามติ
ตามมาด้วยคิวของ ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีต ส.ส. เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เดินทางมาที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อแสดงความความบริสุทธิ์ใจ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ทหาร “เชิญ” ไปที่กองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับใช้ “ปรับทัศนคติ” แทน
เป็นที่รู้กันว่าตระกูล “บูรณุปกรณ์” เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่เก่าแก่ของ จ.เชียงใหม่ และเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย ในการผูกขาดนักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับเชียงใหม่แบบยกจังหวัดมานานหลายสมัย โดยบุคคลสำคัญที่เป็นแม่ทัพพรรคเพื่อไทยในภาคเหนือ โดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ โดยผู้สนับสนุนตระกูล “บูรณุปกรณ” ก็คือ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวอีกคนของ “ทักษิณ” นั่นเอง
ครั้นจะกล้า ๆ กลัว ๆ ก็เท่ากับยอมยกธงขาว วงอาหารที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งมีแกนนำพรรคหลายคนไปร่วม ก่อนที่ “ทักษิณ” จะจับเครื่องไปเมืองผู้ดี ได้ส่งสัญญาณปลุกใจให้ลูกพรรคใหญ่น้อย ต้องฮึกเหิมไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมในช่วงสัปดาห์สุดท้าย โดย “นายใหญ่” ได้กดปุ่มสั่งการให้คลอดอีเวนต์ - กิจกรรมเป็นรายวันเรื่อยตั้งแต่สุดสัปดาห์นี้เรื่อยไปจนถึงนาทีสุดท้าย ตั้งแต่ระดับอดีต ส.ส. ตัวเล็กตัวน้อย ไล่ไปจนถึงระดับบิ๊ก ๆ ในพรรค แบ่งซีกให้สวยงามเป็น “พลังหญิง - พลังชาย” ผลัดหน้ากันออกมา
แล้วก็จะตบตูดปิดท้าย ก่อนฉากจบ โดยสองศรีพี่น้อง “แม้ว - ปู” พี่ออกก่อน น้องตามซ้ำ ออกแน่ ๆ แต่ยังไม่เคาะ วัน ว. เวลา น.ที่ชัดเจน
“มวยรอง” มาฮึดเอานาทีสุดท้าย สายเกินแกง หรือจะมีแรงงัด “พี่ทหาร” ให้ม้วนเสื่อกลับกรมกอง อีกไม่กี่อึดใจได้รู้กัน.