xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” ลั่นพัฒนาระบบดิจิตอล ขู่รัฐวิสาหกิจไม่ปรับส่อล่ม แย้มให้ รมต.สมัครพร้อมเพย์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” เผยระบบดิจิตอลจำเป็นต้องพัฒนา ขจัดขัดแย้งทางความคิด ลั่นไม่เคยใช้อำนาจเผด็จการ เว้นแต่พวกทำผิด กม. แย้มแม้ไร้ไอซีที รมต.ก็ทำงานต่อ ขู่รัฐวิสาหกิจเอาแต่ประโยชน์ไม่ปรับอาจล่มสลาย ประท้วงเจอดี บ่นปวดหัวแต่สู้ วอนฟัง รบ.มากขึ้น ปัดใช้อำนาจทำขัดแย้ง-เอื้อประโยชน์ ย้อนให้ รมต.สมัครพร้อมเพย์เพื่อความเชื่อมั่น ขอช่วยแก้ปัญหาเฮตสปีด อัญเชิญพระราชดำรัสใช้สติปัญญาสร้างความดี ฉะ นสพ.จิกรัฐทุกเรื่อง บิดเบือน

วันนี้ (29 ก.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านดิจิตอลภาครัฐ และเปิดการอบรมหลักสูตรรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริหารระดับสูง (รอส.) รุ่นที่ 3 พร้อมแสดงปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “นโยบายการเตรียมความพร้อมของบุคลากรภาครัฐเพื่อรองรับการก้าวไปสู่ Digital Thailand” โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ทุกวันนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว กล่าวได้ว่าระบบดิจิตอลได้ขับเคลื่อนโลกอยู่ ประเทศไทยอาจจะช้าไปบ้างแต่ก็ใช้เวลาตลอด 2 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าวซึ่งจำเป็นต้องพัฒนาไม่เช่นนั้นจะไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก การให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีดิจิตอลคงไม่เฉพาะส่วนราชการ หรือรัฐบาลอย่างเดียว ทุกภาคส่วนควรจะต้องมีการพัฒนาไปด้วยกัน นอกจากการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ และประชาชนก็ต้องทำควบคู่กันไป ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความขัดแย้งในตอนปลายทุกครั้งเพราะไม่เข้าใจตั้งแต่ต้น ตรงนี้อาจจะต้องมีหลักสูตรพิเศษขึ้นมาโดยทางกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จะเป็นผู้รับผิดชอบ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า แม้วันนี้เราจะมีเทคโนโลยีเข้าช่วยในทุกเรื่องแต่ก็มีติดขัดบ้างอย่าง จึงต้องใช้ระบบดิจิตอลเข้ามาช่วยในการบริหาร คงทำให้ตนเองอารมณ์เสียน้อยลง ทุกวันนี้ทั้งตน รองนายกฯ และรัฐมนตรีทุกคนทำงานหนักมากทั้งแก้ปัญหาเก่าและปัญหาใหม่ สร้างการขับเคลื่อน การวางอนาคต กฎหมาย แต่ขณะเดียวกันยังมีคนคอยดึงขาอยู่ทำให้การเดินหน้าทำงานเป็นไปได้ช้า แต่ไม่เป็นไรเพราะตนมีกำลังใจจากทุกคนที่ช่วยทำให้ประเทศเดินหน้า วันนี้เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันต่อสถานการณ์และเทคโนโลยี อนาคตทุกคนอาจจะไม่ต้องออกจากบ้านมาทำงาน ตนเกรงว่าประเทศจะไร้ชีวิตจิตใจ จิตวิญญาณจะหายไป หลายคนวันนี้ก็เริ่มจะไม่ออกจากบ้าน ทำให้โลกมีอันตรายหลายอย่างเพราะคนเหล่านี้ไม่ยอมออกไปไหน เล่นแต่คอมพิวเตอร์อยู่แต่ในบ้านทำให้มีโลกส่วนตัว คิดอยู่คนเดียว หากมีการป้อนสิ่งไม่ดีเข้าไปทำให้ความคิดไม่เป็นกระบวนการ คิดสั้น คิดง่าย ทำให้โลกมีความขัดแย้ง จึงต้องมีการเตรียมพร้อมในทุกด้าน

“ผมขอให้ทุกคนร่วมมือกันสร้างระบบใหม่ให้แก่ประเทศไทย ขอให้ไว้วางใจ และไว้เนื้อเชื่อใจเราบ้าง ไม่เช่นนั้นทุกอย่างก็จะกลับไปที่เดิม รัฐบาลเข้ามารื้อเกือบทุกเรื่อง ขณะที่บ้านเมืองยังมีความเห็นต่างอยู่มากมายหลายเรื่องทำอะไรก็ติดขึ้นไปหมด เพราะคนยังไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง หลายคนยังติดอยู่ที่เดิม หลายคนติดอยู่ที่ตัวเอง ติดที่องค์กร ติดที่ผลประโยชน์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าไปไม่ได้ ดังนั้นเราจะกล่าวไปสู่การเป็นประเทศ 4.0 ไม่ได้เลย เพราะทุกคนไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้น ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่เปลี่ยนแปลงแนวความคิดของตัวเอง และวิสัยทัศน์ และนำพาคนอื่นเปลี่ยนแปลงไปด้วย มีแต่จะนำพาให้เกิดความขัดแย้งมากกว่าจะทำให้เกิดความร่วมมือ สิ่งนี้เทคโนโลยีต่างๆ ก็ช่วยไม่ได้ ไม่สามารถส่งคลื่นไฟฟ้าไปใส่สมองคนได้ แต่ถ้าทำได้คงจะรวย ผมไม่ใช่จะใช้แต่เผด็จการ ยืนยันว่าผมไม่เคยเผด็จการกับใครเลย เว้นแต่พวกที่ไม่เคารพกฎหมาย ส่วนใหญ่วันนี้คนก็เคารพกฎหมายกันดี ทำให้เป็นกำลังใจให้ผมทำงานต่อไปได้ทั้งรัฐบาล และคณะรัฐมนตรี” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า 2 ปีในการทำงานของรัฐบาล และ คสช.มีการพัฒนาก้าวหน้า แม้แรกๆ จะมีปัญหาบ้าง แต่ข้าราชการมีความพร้อม อยากเห็นประเทศมีความก้าวหน้า แต่ความคิดต่างและความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ขององค์กรตัวเองทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อบ้านเมือง ระบบข้าราชการ และเป็นอุปสรรคต่อตัวบุคคล โดยเฉพาะความคิดที่เห็นต่าง แต่วันนี้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นเพื่อช่วยกัน แต่ก็ยังมีคนเดินข้างๆ บ้างก็ไม่เป็นไร ขอให้น้อยลงไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน เราต้องรวบรวมความต่างมาช่วยกันสร้างสรรค์ อย่าไปชี้นำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยกเว้นสื่อบางประเภท หรือโซเชียลมีเดียบางช่องทางทำให้ประเทศชาติไปไม่ได้ทั้งหมด ทุกคนจะต้องมีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทุกคนในรัฐบาลทำงานหนักโดยเฉพาะกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนชื่อกระทรวง รัฐมนตรีก็อาจจะตกงาน แต่ไม่ต้องห่วงต้องทำงานต่ออยู่แล้ว ส่วนจะทำอย่างไรค่อยว่ากันเพราะหลายอย่างอยู่ในกระบวนการของรัฐธรรมนูญด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอยู่เพื่อทำงานอย่างแน่นอน อย่าเพิ่งดีใจว่าจะไม่มีรัฐมนตรี หรือปรับเปลี่ยนตำแหน่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนใหม่ สิ่งต่างๆ ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 ทุกคนต้องร่วมมือกัน เมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามาก็ต้องให้มีการดำเนินการต่อ ไม่ใช่ว่าปล่อยจนถึงรอเลือกตั้งมาแล้วอยากทำอะไรก็ทำ วันข้างหน้าก็เลือกเข้ามาใหม่ ประเทศชาติก็เดินต่อไม่ได้ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ตนคิดให้ได้แค่นี้ จากนี้ไปทุกคนก็ต้องช่วยกันคิดกันเองในการเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่กำลังจะมาถึง ตนไม่ได้ขัดแย้งกับประชาธิปไตยอยู่แล้ว แผนสภาพัฒน์ ตนไม่ได้ไปกดดันหรือบังคับใคร ที่ผ่านมา 11 แผนยังไม่ทำกันเลย พอแผนพัฒนาฉบับที่ 12 ก็คงไม่ทำกันอีก ทำให้คนไม่ค่อยจะยอมรับว่าเราจะมีกติกาอะไรขึ้นมา เพราะเรายังไม่ยอมกันทำให้ประเทศติดกับดักมากกว่าอย่างอื่น อย่าไปคิดว่าที่ทำทั้งหมดเพื่อเป็นการสืบทอดอำนาจ กลไกที่มีอยู่ไม่สามารถไปละเมิดกลไกฝ่ายบริหารได้ อย่างนี้เรียกว่าตนเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ไม่อย่างนั้นตนคงเขียนแผนหนักกว่าานี้ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะโลกวันนี้เป็นประชาธิปไตย ตนไม่สามารถหลีกหนีพ้นประชาธิปไตยอยู่แล้ว ถึงเวลาก็ต้องทำ ตนก็มีหน้าที่เหมือนทุกคน 1 สิทธิ 1 เสียง เพราะฉะนั้นเราต้องทำทุกอย่างไปสู่เป้าหมายเดียวกัน แต่ในองค์กรเดียวกันบางครั้งก็ยังไปด้วยกันไม่ได้

“หลายอย่างที่ทำให้ผมหงุดหงิด แต่ไม่สามารถเดินหน้าไปได้ โดยเฉพาะเรื่องของรัฐวิสาหกิจ ผมถามว่าต้องการเงิน ต้องการรายได้ ความมั่นคงในชีวิต แต่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรกันเลย มันก็ไปไม่ได้ รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมาอุดหนุน ถ้าไม่ร่วมมือกับผม ทุกอย่างก็ต้องล่มไปเลย ผมก็ต้องทำแบบนี้ แล้วท่านก็ไม่มีจะกิน แล้วถ้าใครออกมาเดินขบวนมีเรื่องกับผมแน่ ผมพยายามทำให้อยู่ ก็แสวงหาความร่วมมือเข้ามา ไม่ใช่อะไรก็ไม่เอา พอถามก็ตอบไม่รู้ มันเป็นไปไม่ได้ จะต้องร่วมมือซึ่งกันและกัน ปรับจูนเข้าหากัน อย่าไปขัดแย้งมากนัก ผมเตือนไว้ก่อน คงทราบดีว่าใครบ้างที่กำลังทำอยู่ วันนี้ผมทำให้บ้านเมืองเดินได้ ไม่ได้ทำเพื่อใช้อำนาจบ้าบอคอแตกอะไร ผมไม่อยากได้อำนาจอะไรสักอย่าง พอแล้วอำนาจของผม ใครเป็นทหาร ผบ.ทบ.รู้อยู่แล้ว การเป็น ผบ.ทบ.เบื่อที่จะใช้อำนาจ อย่ามาอะไรกันนักหนา ใช้อำนาจอย่างเดียวมันเบื่อ แต่ถ้าใช้อำนาจแล้วได้ผลประโยชน์มันไม่เบื่อหรอก แต่ผมเบื่อที่ไม่รู้ทุกคนต้องการอะไรกัน วันนี้ว่าจะไม่พูดการเมืองแล้วพอดีกว่า เมื่อคืนตีมาตี 2 ไม่รู้ว่าตัวเองโมโหอะไร นอนไม่หลับหาสาเหตุไม่เจอ แต่เช้าวันนี้เพิ่งคิดออก เป็นเรื่องที่ทำให้ผมนอนไม่ค่อยหลับตลอด เช้าขึ้นมาหน้ายับทุกวัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า สิ่งสำคัญประชาชนต้องเรียนรู้นั้นนอกจากสร้างบุคลากรแล้วต้องดูเรื่องกฎระเบียบ วันนี้ต้องแก้ไขให้หมด ให้มันง่าย รัฐบาลวันนี้ทำกฎหมายกว่า 300 ฉบับ กฎหมายลูกก็ต้องทำ กฎหมายลูกก็ต้องแก้ แต่ทุกคนจะเอานี่เอานู่น ที่ผ่านมามันสะเปะสะปะ ที่ดีก็มี ไม่ว่าใครเลวร้ายทั้งหมด เดี๋ยวไปหาว่าตนไปว่าเขาไม่ดี ไม่อยากจะแตะต้องผู้มีพระคุณทั้งหลาย แต่ทำไมตนต้องมาลำบากวันนี้ไม่รู้ แต่ก็จะสู้ วันนี้เราต้องเรียนรู้จะใช้เทคโนโลยีอย่างไรที่มันถูกต้อง ไปดูต่างประเทศเขาบ้าง ถามนายสมคิดสิมีอะไรดีขึ้นมาบ้าง 2 ปีผ่านมา มัวไปดูกันแต่ความขัดแย้งเรื่องเดิมๆ พอมีอะไรนิดหนึ่งก็ไปตีเจาะช่อง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนยังโดนเลย มีคนมาถามตนสมัครพร้อมเพย์หรือยัง ถามว่าทำไม เขาบอกจะได้มีความมั่นใจว่านายกฯ สมัครแล้ว ตนบอกว่าเป็นทางเลือกของการโอนเงินของผู้ที่มีรายได้น้อยเพราะไม่ต้องเสียค่าโอน  เรื่องง่ายๆ ทำไมยังไม่เข้าใจ พร้อมจะบิดเบือนได้ทุกเรื่อง ซึ่งธนาคารควบคุมความปลอดภัยอยู่ แค่เชื่อมโยงระบบไอซีที การพิสูจน์ทราบจากเลข 13 หลักนั้นเป็นการแสดงตัวตนเท่านั้นเอง ใครมีความลับอะไรหรือในบัตร ตรงนี้ทำเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้มีรายได้น้อย กลัวกันไปหมด ให้รัฐมนตรีทุกคนพร้อมเพย์เลยดีไหมจะได้เชื่อมั่น กลัวไปหมด ไปบิดเบือน ตนแค่ต้องการให้รู้มีรายได้เท่าไหร่ วันหน้าจะได้ดูแลงบประมาณรัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สวัสดิการรัฐจะได้ตรวจสอบกันได้ และมีความรวดเร็วขึ้น

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้อย่ามองแต่จอโทรศัพท์ เพราะประเทศไทยมีจิตวิญญาณ มีความเคลื่อนไหว ใช้โทรศัพท์ให้น้อยลง ยกเว้นใช้ในเรื่องที่มีสาระ ไลน์ถามกันนอนหรือยัง กินข้าวหรือยัง เข้าใจมันเป็นความสุข แต่บางทีเสียเวลา อยากให้มาอ่านเรื่องเป็นประโยชน์ของการบริการรัฐบาลดีกว่า รัฐทำอะไรบ้าง ตนพูดอะไรบ้าง ลดเวลาก็แล้ว แต่ตอนนี้จากที่ประเมินมาฟังตนมากขึ้น เพราะฟังทันแล้ว ตนก็ปรับตัวเองจากที่พูดเร็วเกินไป ต้องทำให้รวดเร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นจะปวดหัวแบบตน ตนมาแบบนี้ต้องอ่านหนังสือเยอะ วันๆ ต้องอ่านเพราะต้องลงนามต้องตัดสินใจ อีกสมองก็ต้องคิดถึงอนาคต ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย ถ้ามาไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ต้องเข้ามา

“ผมไม่รู้จะสืบทอดอำนาจไปทำไม อำนาจประชาชนสำคัญสุด และเป็นอำนาจที่ถูกต้อง อยากเห็นประเทศเดินหน้า ไม่ใช้อำนาจที่ไปขัดแย้ง ขอให้ทุกคนดูแลกันว่าจะทำอย่างไร ต้องมีช่องทางให้ประชาชนเรียนรู้ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร วันนี้หลายพวกเอาไปบิดเบือน ที่ปรับวันนี้เพื่อเอื้อประโยชน์ ผมถามว่าเอื้อใคร แล้วใครได้ รัฐบาลไม่เห็นได้อะไรเลย ขอสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันด้วย ฝากคิดทำระบบข้าราชการเข้มแข็ง ไม่ขัดแย้งกับฝ่ายบริหารที่มีคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล และมองประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก รวมถึงประชาชนต้องเรียนรู้ทันการพัฒนาไปพร้อมๆ กัน” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า วันนี้เดินหน้าทำงานมีคนดึงแข้งดึงขา ทำให้ประเทศเดินหน้าไปช้า เราต้องทำงานเร่งเพิ่มขีดความสามารถ สร้างนวัตกรรมให้เกิดขึ้น วันนี้ต้องระมัดระวังอย่าให้ประชาชนได้รับการชี้นำ การเป็นไทยแลนด์ 4.0 ก็เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ สร้างโอกาสทางสังคม มีคุณภาพชีวิตที่ดี พัฒนามนุษย์ และให้บริการของภาครัฐแก่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมียุทธศาสตร์เพิ่มเติม เช่น การเพิ่มขีดความสามารถประเทศให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของโลก การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยดิจิตอล การปรับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ การพัฒนาหน่วยงานและบุคลากรของรัฐ

“ฝากไปถึง CAT, TOT ด้วย ไม่อย่างนั้นเจ๊งหมด รัฐบาลก็ช่วยไม่ได้ รัฐวิสาหกิจอย่ามาประท้วง ประท้วงมีเรื่องกับผมแน่ หัวหน้านั่นล่ะตัวดี ไม่ได้ขู่ แต่ผมเอาจริง ไม่อย่างนั้นเดินไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ในกระทรวง รัฐวิสาหกิจจะล้มละลายอยู่แล้ว” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ชาวต่างชาติมักคิดเรื่องความสร้างสรรค์ แต่คนไทยกลับคิดแต่เรื่องบ้าบอ เรื่องของการทะเลาะเบาะแว้ง การเมืองประชาธิปไตย วนอยู่แค่นั้น จะอดตายก็ไม่สนใจ ดังนั้นการพัฒนาจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน วันนี้ต้องช่วยกันคิดว่าจะแก้ปัญหาการเฮตสปีดในโซเซียลมีเดียได้อย่างไร เพราะระยะนี้มีปัญหาค่อนข้างมาก รวมทั้งการให้ร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาอย่างเต็มที่

“เปิดไปไม่เจอตรงๆ หรอก แต่จะอยู่หลังๆ รายการเพลง หลังละคร ซึ่งจะมีแทรกมาตอนท้ายๆ จะให้ผมทำอย่างไร ปิดตรงนี้ไปตรงโน้น แก้กฎหมายก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ สังคมต้องเรียนรู้ ช่วยรัฐบาล ต้องรู้ว่าผิดหรือถูก หรือไม่รู้ว่าข้างบ้านกำลังทำอะไรอยู่ ก็ช่วยเตือนเขาบ้าง ประเทศชาติขัดแย้งอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าต้องการความสงบ แต่ไม่ร่วมมือสร้างความขัดแย้งเพิ่มเติม เราก็ไปไม่ได้ ต้องให้คุณค่าต่อสังคม ไม่สร้างความเกลียดชัง ต้องไม่มีการให้ร้ายคู่แข่งอย่างไม่เป็นธรรม การให้เขาด้อยค่า ซึ่งสรุปแล้วไม่มีใครผิดถูกเลย แล้วสังคมจะอยู่กันได้อย่างไร ถ้าไม่ให้กระบวนการยุติธรรมตัดสิน ถ้าเกลียดขี้หน้ากันก็ทำงานร่วมกันไม่ได้” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งว่า ถ้ามีคนไม่ดีก็ควรหาความดีของเขา ค่อยๆ เติมความดี คนคนนั้นอาจจะดีขึ้นบ้าง แม้ไม่ดีขึ้นก็ยังเสมอตัว ไม่รบกวนคนอื่นเขา แต่ถ้าตัดสินด้วยอารมณ์คงไม่ได้ เพาะต้องคิดด้วยสติปัญญา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงชี้แนะให้พวกเราใช้สติปัญญา รู้จักคิด ทำ ปฏิบัติ พระองค์ท่านทรงรับสั่งมากแต่พวกเราไม่ค่อยทำ ตอบตัวเองได้หรือไม่ ว่านำพระราชดำรัสของพระองค์มาใช้หรือเปล่า เช่น แนวคิดหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ต่างชาติก็กำลังให้ความสนใจและนำไปปรับใช้ ต่างชาติบอกว่าหลายอย่างที่ประเทศไทยมีสามารถปรับใช้กับประเทศเขาได้ ขอให้ข้าราชการ ประชาชนเรียนรู้ไปด้วยกัน มุ่งหวังประโยชน์ต่อบ้านเมืองให้มากที่สุด ทำอะไรก็ตามต้องมองถึงคนมีส่วนได้เสีย ซึ่งรัฐบาลมองทุกกลุ่ม

“หนังสือพิมพ์บางเล่มเมื่อคนเปิดไปก็จะดูหน้าแรก หน้าการเมือง และหน้าดารา แต่ก็ต้องดูว่าในนั้นมีความก้าวหน้าอย่างไร ทุกกระทรวงทำงานก้าวหน้าหมด หนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันมีทั้งขัดแย้ง การเมือง แต่ก็มีส่วนดีๆอยู่ทุกเล่ม ถามว่าทุกคนในองค์กรหนังสสือพิมพ์เล่มนั้นๆ ได้อ่านเล่มอื่นกันบ้างหรือไม่ หรือว่าอ่านแต่เล่มตัวเอง หรือว่าพอตื่นมาก็นึกเอาแล้วเขียนหาจุดบกพร่องของรัฐบาลแล้วตี ไปอย่างนี้ไม่ได้ ในตัวหนังสือพิมพ์ยังขัดแย้งกันเอง ผมเข้าใจที่ต้องนำเสนอทั้งสองฝ่าย แต่บางเรื่องยังไม่จบก็กลับมาตี แย่จริงๆ สร้างความบิดเบือนหมด เช่น พร้อมเพย์ ขึ้นทะเบียนคนจน วันนี้มีคนเสียภาษีจริงๆ 4 ล้านกว่าคน ผมไม่ได้หวังจะรีดภาษีจากคนมีรายได้น้อย ข้าราชการเสียทั้งภาษีบุคคล และภาษี VAT แต่ประชาชนที่รายได้ไม่ถึงเสียเพียง VAT อย่างเดียว แล้วจะเท่ากันได้อย่างไร ทุกคนเรียกร้องให้เท่ากันได้ทุกอย่าง แล้วจะเอาเงินที่ไหน เมื่อทุกคนไม่ร่วมมือกับรัฐบาล รัฐสวัสดิการล้มไปหลายประเทศแล้ว แต่ก็ยังเรียกร้องโดยไม่เข้าใจเหตุผล” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวตอนท้ายว่า “ผมคิดว่าที่พูดมาวันนี้ทั้งหมด ผมพูดจากใจของผม จากใจมันไม่โกหกหรอก โกหกไม่ได้ และผมก็ถูกสั่งสอนมาว่าทหารทุกคนมีหัวใจเป็นสีม่วง ทำไมรู้หรือไม่ ทั้งๆ ที่หัวใจของคนเป็นสีแดงสีของเลือดใช่หรือไม่ แต่หัวใจสีม่วงเป็นหัวใจของคนที่ใกล้จะตาย มันจึงไม่โกหกหรอก โกหกก็ตกนรก ดังนั้นทหารต้องเป็นอย่างนั้น และข้าราชการก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นคนหัวใจสีม่วง คือคนใกล้จะตายต้องไม่โกหกกับตัวเองและคนอื่น ผมอยากให้ทุกคนเป็นอย่างนี้ มันจะดีหรือไม่ดี วันหน้าตายไปแล้วก็ต้องถูกลงโทษกัน ไม่รู้สวรรค์นรกอยู่ตรงไหน ไปทางไหน ไม่รู้เหมือนกัน แต่ให้สิ่งนี้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวซึ่งผมก็ยึดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า” นายกฯ กล่าว



















กำลังโหลดความคิดเห็น