นายกฯ เปิดงาน SMEs ย้ำชาติจะเดินหน้าต้องร่วมมือกัน ติงเรียกร้องอยากได้โน้น แต่ไม่รู้ รบ.เอาเงินมาจากไหน ชี้ รบ.ต้องฟังทุกฝ่าย ห่วงละเมิดลิขสิทธิ์ ตปท.ไม่ค้าขายด้วย หวังปฏิวัติครั้งนี้รอบสุดท้าย แจงยุทธศาสตร์ 20 ปีไม่ได้บังคับข้องใจนักการเมืองกลัว บ่นค้านโรงไฟฟ้า โรงขยะ ชาติไม่ได้ไปไหน ค้านโกงบาทเดียวก็ไม่เอา ขออย่าฟ้องส่งเดช รกศาล ซัดพวกบิดเบือนร่าง รธน. งงค้านไปเพื่ออะไร
วันนี้ (27 มิ.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “สานพลัง SMEs พลิกฟื้นยืนได้ ใส่ใจผู้ประกอบการ” และมอบนโยบายแก่สถาบันการเงินและผู้ประกอบการ SMEs ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าด้วยอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ จะต้องมีทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และท่องเที่ยว ซึ่งสินค้าเอสเอ็มอีสามารถส่งออกได้ถึงร้อยละ 90 ที่ผ่านมาประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลางมากนาน วันนี้จึงจำเป็นต้องมีการต่อยอด หรือพัฒนาธุรกิจเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องยกเลิก ต้องพัฒนาให้เกิดความทันสมัย และความต้องการ ต้องปรับตัวเองขึ้นมา ที่ผ่านมาเราคอยแต่จะถอยหลังกลับไปเรื่อย กลับไปสู่ความขัดแย้ง ไปสู่เรื่องที่มันไม่เป็นประโยชน์สักเรื่อง แต่คนส่วนใหญ่ต้องการให้แก้ปัญหาในทุกมิติ แต่บางส่วนเล็กๆ น้อยๆ ตนไม่อยากให้ความสำคัญมากนัก เพราะวันนี้เราอยู่ในช่วงระยะเวลาความเป็นความตายของประเทศ ทุกประเทศก็มีความวุ่นวายเช่นนี้ อาจจะมีมากกว่าเราแต่ไม่รุนแรงแบบเรา ที่รุนแรงก็อาจจะรบกันไปเลย ด้วยจิตวิญญาณ ด้วยศาสนา
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้มีคนบางกลุ่มเรียกร้องอยากได้โน่นได้นี่ แต่ไม่พูดว่ารัฐบาลจะเอารายได้มาจากไหน รายได้ของรัฐบาลมาจากประชาชนทั้งสิ้น ทั้งประชาชนธรรมดา นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ ได้จากภาษีบุคคลธรรมดา และภาษีนิติบุคคล ได้จากภาษีการนำเข้า-ส่งออก หลายคนไม่เข้าใจโดยเฉพาะอีกพวกไม่เข้าใจว่าประเทศเราคืออะไร ติติงทุกเรื่องทั้งๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่วันนี้เรามาทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ไม่เคยให้ความสนใจ ที่ผ่านมาการทำงานหลายอย่างประสบความสำเร็จซึ่งล้วนมาจากฝีมือของข้าราชการทั้งสิ้น ไม่ใช่รัฐบาล ถ้ารัฐบาลเข้าช่วยเสริมทุกอย่างก็จะเร็วขึ้น แต่ถ้าเราทำงานด้วยกฎหมายที่มีเท่าเดิมก็จะทำให้แก้ไขอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ก็จะเกิดการเผชิญหน้าระหว่างภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน ก็จะทะเลาะกันอยู่เช่นเดิม ข้าราชการก็จะถูกต่อว่า แต่รัฐบาลนี้ไม่ยอม ดังนั้นคนที่เป็นรัฐบาลจะต้องฟังเสียงจากทุกฝ่าย จะไปกำหนดทุกอย่างเองไม่ได้
“อย่างรัฐบาลของผม รัฐบาลมาตรา 44 ผมยังฟัง เพราะฉะนั้นไปทบทวนดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่ผ่านมา” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ตนเป็นห่วงถึงปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ จากที่ได้ดูการขายของปลอมในไทยอยู่ในลำดับที่น่าจับตา ถ้าเราไม่แก้ไขปัญหานี้ให้ได้ ถ้าเขาฟ้องขึ้นมาก็ตายหากเขาไม่ขายของให้ประเทศไทยจะทำอย่างไร มาตรการกีดกันทางการค้าจะเกิดทันที ประเทศไทยเป็นสมาชิกหลายองค์กรในโลก กฎหมายในประเทศฝืนกันไม่พอยังฝืนกฎหมายโลกอีก ตนปวดหัวทุกวันกับเรื่องนี้ ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรับไปแก้ปัญหาด้วย
“กฎหมายคือสิ่งที่ทำให้คนไทยทุกคนเกิดความเท่าเทียม ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ผิดคือผิดถูกคือถูกทั้งรวยจน จะมาบอกไม่รู้กฎหมายไม่ได้” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่แข็งแรง แข่งขันไม้ได้เพราะเป็นการลงทุนแบบเดิม สมัย 30 ปีที่แล้วที่มีการปฏิวัติเศรษฐกิจในประเทศ มิตรประเทศเข้ามาลงทุน ดังนั้นต้องปรับปรุงให้เกิดความทันสมัย มีคุณภาพที่แข่งขันได้ เหมือนการปลูกข้าวจะเอาราคาหมื่นห้าจะทำได้ที่ไหน ขายใคร เพราะโลกซื้อแค่ 9 พันถึงหนึ่งหมื่น ถ้าซื้อมากกว่านั้นแสดงว่ามีปัญหาบิดเบือนราคาหรือเปล่า ตรงนี้ไม่รู้เป็นเรื่องของกฎหมายไปว่ากันมา
วันนี้หลายเรื่องถ้าไม่ปฏิรูปก็จะกลับสู่ที่เดิม ข้าราชการไม่มีกำลังใจ เจ้าหน้าที่ไม่อยากจับกุมดำเนินคดี ล้มเหลวทั้งหมด ตนไม่ได้ขู่ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกันคิดในการปฏิรูปประเทศ และที่ต้องใช้กฎหมายพิเศษเพื่อขับเคลื่อนเร่งรัดการทำงานไม่ต้องการรังแกใครทั้งสิ้น มันจำเป็นต้องใช้ ไม่เช่นนั้นไม่ต้องเรียกว่าปฏิรูป ปฏิวัติเข้ามาเพื่อทำอย่างนั้น จะไม่ต้องทำก็ได้อยู่เฉยๆ รอเวลาเดี๋ยวก็ไป แล้วมันทำมากี่ครั้งแล้วยังต้องทำอีกหรือ ตนถือว่ามันน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้ และคิดว่าไม่ได้อยู่ที่ทหารอยู่ที่ประชาชน แต่อยู่ที่รัฐบาล ถ้าทำดีใครจะทำอะไรได้ จึงต้องมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และก็ไม่ได้บังคับใคร แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมนักการเมืองกลัว บางคนบอกไม่เห็นต้องปฏิวัติ ถ้าจะมาทำเรื่องจิตสำนึก แต่ไม่ได้ง่ายเหมือนปลูกต้นผักชี ถ้าปลูกกันง่ายลองปลูกให้ดูหน่อย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า กฎหมายการเวนคืนต้องให้คนที่อยู่ตรงนั้นได้ประโยชน์ การประกอบการใดก็ตามที่รัฐบาลต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้า ขยะ พลังงานที่เรายังทำไม่ได้ เพราะประชาชนยังไม่ยอม ตนจะปรับงบประมาณทั้งหมดให้กระทรวงมหาดไทย ให้ท้องถิ่นเป็นคนทำ ถ้าทำไม่ได้ก็อยู่ตรงนั้น เพราะเขาไม่รู้ เขาไม่ไว้ใจถ้าให้ไปแล้วทำไม่ได้ก็ต้องอยู่อย่างนั้น จะเอาภาระไปให้คนอื่นไม่ได้ แต่จะต้องรับภาระคนอื่นมาเพื่อให้เกิดรายได้แก่ท่าน อยากให้มีโรงงานไฟฟ้า อยากมีโรงงานขยะ แต่ไม่ให้อยู่ในพื้นที่ตัวเอง แล้วจะไปอยู่ตรงไหน ไปไม่ได้หรอกประเทศไทยติดอยู่แค่นี้
“ผมไม่เห็นด้วยกับการทุจริต บาทเดียวก็ไม่เห็นด้วย ให้กระทรวงยุติธรรมไปว่ามา ถ้ามาพูดโดยใช้ความรู้สึก ใช้อารมณ์ พูดด้วยความเกลียดชังทำไม่ได้ ต้องเอากฎหมายมาว่ากัน ช่องทางการฟ้องร้องทำอย่างไร มีใครกล้าบ้างไหม ถ้ากล้าก็ออกมา อย่ามาฟ้องส่งเดช เรื่อยเปื่อยรกศาล เรื่องบางเรื่องฟ้องกันอยู่นั้น แต่พอตัวเองทำผิดไม่เห็นฟ้องตัวเอง ถ้าไม่ฟ้องตนจะฟ้องให้ ที่ทำผิดไปแล้วมีอีกเยอะ” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การปฏิรูปภาษีอย่าไปเดือดร้อน และกลัวการเสียภาษี ถ้าไม่เสียแล้วจะเอาอะไรมาทำ ถ้าให้บริจาคภาษีจะให้กันไหม กลัวกันกับคำว่าภาษี ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องไปกลัวภาษี ถ้ามันดีขึ้นก็พึ่งได้ วันนี้เรามีปัญหาเรื่องภาษี วันหน้าก็ต้องมีการแก้ไข
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มีคนถามว่ามีทหารไว้ทำไม ทั้งยังแนะนำว่าหากต้องการให้ประชาชนรักมากๆ ควรเอาทหารไปขุดลอกคูคลองซึ่งตนเห็นว่าไม่ใช่ แต่เรายืนยันจะเดินตามโรดแมป โดยได้วางยุทธศาสตร์ชาติไว่ในทุกๆ 5 ปี เพื่อเดินหน้าไปสู่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยยุทธศาสตร์นี้ไม่ถือเป็นการสกัดกั้นนักการเมือง อย่างที่มีการกล่าวอ้าง แต่เป็นการปฏิรูป และรัฐบาลไม่สามารถควบคุมความคิดของคนได้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องการออกเสียงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญ บางคนบอกว่ายังไม่ได้ตัดสินใจ นั่นก็เป็นสิทธิของแต่ละคน และในฐานะนายกฯ ก็มีทางออกเรื่องนี้อยู่แล้ว
“วันนี้มีการปล่อยข่าวว่าหากรัฐธรมนูญผ่าน คนจะถูกตัดสิทธิเรียนฟรี 15 ปี ถามว่าจริงหรือไม่ เพราะ คสช.ได้ออกประกาศมาตรา 44 ไปแล้ว ยังจะมาโกหกอีก และยังบิดเบือนว่าจะยกเลิกสิทธิบัตรทอง ยกเลิกตรงไหน โกหกกันแบบนี้ อะไรที่ทำให้เยอะแยะไปหมด แต่จับผิดสิ่งที่ตัวเองไม่ทำ ผมไม่รู้ค้านเพื่ออะไร อยากให้อยู่ที่เดิมหรือไม่อยากให้ก้าวหน้า เพื่อจะได้ควบคุมแบบเดิมหรือไม่” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้เกิดปัญหาฝนตกแล้วรถติด เพราะท่อระบายน้ำมีขนาดเท่ารูหนู แต่หากจะทำอุโมงค์ก็ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย ถ้าต้องการให้ทุกอย่างขึ้นต้องรื้อหมดทั้งประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายนายกฯ ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่มีปัญหาจากการทำธุรกิจเอสเอ็มอีได้ร้องเรียน โดยมีผู้ประกอบการร้องเรียนโดยตรงกับนายกฯ หลากหลาย เช่น แนะนำให้รัฐบาลลดดอกเบี้ยเงินกู้ ปัญหาไม่ได้รับเงินเยียวยาจากเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 รวมถึงค้องการให้ช่วยแก้ปัญหาหนี้สิน โดยนายกฯ มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปพิจารณา
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งระหว่างรับฟังเรื่องร้องเรียนจากผู้ประกอบการว่า “รัฐบาลพร้อมรับเรื่องร้องเรียน แต่จะมาตรวจสอบผมคงไม่ได้ ต้องรอตรวจสอบกับรัฐบาลหน้า ขอคนที่เดือดร้อนต้องการให้รัฐบาลช่วย ไม่ใช่มาจับผิดผม”