เมืองไทย 360 องศา
ไม่รู้ว่าเป็นการพูดหลุดปากออกมาจากคำถามของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบฯ ที่ตั้งคำถามจนเกิดอารมณ์โมโหของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต้องปะทุออกมาอีก จนเห็นเป็นเรื่องชินตาแทบทุกสัปดาห์ แต่คราวนี้น่าจะผิดแผกไปกว่าทุกครั้งว่า “น่าจะเอาจริง”
ขณะเดียวกัน เมื่อประมวลเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ทุกอย่างมันล้วนเข้าเค้ามันมีที่มาที่ไปสอดรับกันเกือบทั้งสิ้น โดยเฉพาะหากพิจารณาจากฝ่ายตรงข้ามในที่นี้ ก็ไม่ต้องอ้อมค้อมย่อมหมายถึงฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร พร้อมบรรดาลูกสมุนที่มาในหลายรูปแบบทั้งในนามพรรคเพื่อไทย หัวโจกคนเสื้อแดง ที่เรียกชื่ออ้างตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” นั่นแหละ ยังมีนักวิชาการหน้าเดิมๆ นักศึกษาก็กลุ่มเดิมๆ ที่เริ่มโหมเคลื่อนไหวหนักมือขึ้นเรื่อยๆ มีกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งทางลับและเปิดเผย เรียกว่า ยิ่งใกล้ถึงวันสำคัญ คือ วันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ วันที่ 7 สิงหาคมเท่าไหร่ แรงกระแทกยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เคยออกมาให้ข้อมูลโดยพูดลอยๆ ขึ้นมาว่า “รู้แล้วจะหนาว” ทำนองว่า กำลังมีพวกจ้องทำลายความมั่นคงในแบบวางแผนแบบเป็นขั้นเป็นตอนแบบเป็น “ขบวนการ” ซึ่งต่อมาก็นำไปอยู่การใช้มาตราควบคุมที่เข้มงวดกว่าเดิม
จากเดิมที่คาดกันว่า ฝ่ายอำนาจรัฐ คือ รัฐบาล และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คงจะเริ่มผ่อนคลายคำสั่งต่างๆ น่าจะเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองประชุม หรือเปิดเวทีวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงกันเรื่องร่างรัฐธรรมนูญตามเสียงเรียกร้อง และแรงกดดันกันบ้าง อย่างน้อยก็น่าจะเปิดทางให้ในช่วงใกล้ถึงวันลงประชามติก่อนสักสองสามสัปดาห์ แต่ท่าทีล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็พูดตัดบทฉับออกมาว่าไม่ผ่อนปรน อ้างว่า พวกนักการเมือง “นิสัยไม่เปลี่ยน” มันก็ชัดเจนว่าจะคุมเข้มกันไปอย่างนี้ ในทางตรงกันข้ามน่าจะ “เข้มกว่าเดิม” เสียอีก
เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร ก็จะได้เห็นการขยับออกมาพร้อมๆ กัน ทั้งในรูปแบบของมวลชนพวกแกนนำ นปช.ที่ตั้งศูนย์ปราบโกงอะไรนั่น การเขย่าของพวกเด็กๆ นักศึกษาแนวร่วม การโผล่ออกมาของ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ทำทีว่าประสานงานพวกนักการเมืองเพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมือง การดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัวสู้คดี รับของโจรและฟอกเงินของ ธัมมชโย แห่งธรรมกาย พร้อมทั้งปลุกระดมบรรดาลูกศิษย์ออกมาเป็นกำแพงมนุษย์ป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุม ซึ่งก็พร้อมที่จะปะทะให้เกิความสูญเสีย ทุกเหตุการณ์ดังกล่าวล้วนมีที่มาที่ไป ที่สำคัญ คนพวกนี้เป็น “พวกเดียวกัน” เพียงแต่วิธีการอาจจะต่างกัน แต่เป้าหมายเดียวกัน คือ ต้องการ “ล้มกระดาน” ล้มร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพวกเขา โดยเฉพาะอนาคตทางการเมืองข้างหน้า ที่สำคัญ หัวหน้าใหญ่อย่าง ทักษิณ ชินวัตร นอกจากจะหมดสิทธิ์กลับมาอย่างเท่ๆ แล้ว ประตูการเมืองยังถูกปิดตายอีกด้วย
ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องออกมาร่วมแรงร่วมใจกันขย่มให้หนักมือในช่วงเวลานี้ เพราะมันเป็นช่วงสำคัญที่ใกล้ถึงวันลงประชามติที่ชี้เป็นชี้ตายกันแล้ว
วกมาที่ “รู้แล้วจะหนาว” จนมาถึง “แน่จริงก็ออกมา” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นำมาสู่ท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมผ่อนปรน ก็ต้องประเมินว่าไม่อยากเสี่ยง เกรงว่าจะเอาไม่อยู่จึงต้องตัดไฟเสียก่อนตั้งแต่ต้นมือ แม้ว่าท่าทีแบบนี้จะเรียกเสียงประณามเสียงตำหนิจากประเทศตะวันตกบ้าง แต่สำหรับรัฐบาล และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็ใช้วิธีการตั้งตัวแทนไปชี้แจงถึงตัวโดยตรง เช่น เมื่อกลุ่ม นปช. ไปฟ้องสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในเรื่องละเมิดสิทธิเสรีภาพ ฝ่ายรัฐบาลก็ส่งคนไปชี้แจงถึงสำนักงานยูเอ็น พร้อมทั้งยืนยันว่า ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติหรือไม่ ก็ต้องมีการเลือกตั้งตามโรดแมปในปี 2560 เป็นการลดแรงกดดันลงไปได้บ้าง
ถ้าจะพิจารณาจากท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ย่อมสรุปได้ทันทีว่าจะเข้มไปจนถึงวันลงประชามติรัฐธรรมนูญ และยังเป็นไปได้สูงว่ายังต้องเข้มหลังวันประชามติไปแล้วอีกด้วย เพราะเดาว่าจะมีรายการป่วนหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน คำพูดที่ย้ำว่า “แน่จริงหรือกล้าก็ออกมา” มันจึงทำให้คิดว่ารับรู้ความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา และเตรียมมาตรการขั้นเด็ดขาดเอาไว้รับมืออยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรสิ่ง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มั่นใจ และใช้เป็นข้อมูลเด็ด ก็คือ เขามั่นใจว่า “ความศรัทธา” ของชาวบ้านที่ยังหนุนหลังเขายังมีอยู่เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งพิสูจน์ผ่านทางผลสำรวจออกมาตลอด นี่แหละคืออาวุธสำคัญและทรงพลังที่สุด
ดังนั้น ถ้าให้สรุปอีกครั้งก็คงยืนยันได้ว่า รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะไม่ยอมผ่อนคลายความเข้มงวดลงมาเป็นอันขาด เนื่องจากไม่ยอมเสี่ยงเนื่องจากเกรงว่าจะเอาไม่อยู่ ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากท่าทีแล้วก็พร้อมที่จะใช้มาตรการจัดการขั้นเด็ดขาดซึ่งเที่ยวนี้น่าจะเอาจริง เพราะมั่นใจกำลังหนุน และน่าจับตาก็คืองานนี้ “รู้แล้วจะหนาว” ส่วนใครจะหนาว อีกไม่นานก็คงรูักัน!