“ประยุทธ์” วอนสื่อช่วยลดความขัดแย้ง นักการเมืองต้องไปหาข้อสรุปจะปรับปรุงตัวอย่างไร ก่อนไปคุยกับ ปชช. ย้อนเห็นแต่ไล่จับผิด ไม่ขวางนัดพูดคุยแต่อย่าทำผิด กม. ให้คุยเงียบๆ แล้วส่งข่าวมา ชี้ว่ากันตาม กม.ก็จบไปแล้ว ฉะแหก กม.กันทุกวัน ย้อนถามยังจะฟังที่เขาพูดอีกหรือ ปัดส่งสัญญาณล้างผิด เผย แจง UN เรียบร้อยดี พร้อมยื่นเอกสารให้พิจารณา เบื้องต้นเกิดความเข้าใจ
วันนี้ (1 ก.ค.) เมื่อเวลา 12.45 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำ โดยกล่าวขอร้องสื่อมวลชนว่า สื่อต้องช่วยลดความขัดแย้ง และทำให้บ้านเมืองสงบให้ตนด้วย ไม่ใช่อะไรก็จะให้ตนไปรบกับความขัดแย้ง รวมทั้งด้านการเมืองด้วย ทำให้ตนต้องเสียเวลา เรื่องการเมืองก็ต้องไปแก้ปัญหาไปหาข้อสรุปเป็นของตัวเองมาว่าจะต้องทำอย่างไร ปรับปรุงตัวเองอย่างไร และวันข้างหน้าเข้ามาจะทำอย่างไร ต้องบอกให้ประชาชนได้รับรู้ ไม่ใช่มาต่อสู้แต่เรื่องเดิมๆ เรื่องเก่า เรื่องของกฎหมาย เรื่องความผิด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักการเมืองสามารถทำได้ ไม่ต้องมาคุยกับตน ไปคุยกับประชาชนแทนแล้วกัน แล้วส่งข่าวมา วันนี้ยังไม่เห็นส่งอะไรมาสักอย่าง มัวแต่ไล่จับผิดรัฐบาล ไล่จับผิดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จับผิด กรธ.หมดทุกอัน นี่หรือคนที่จะได้รับการเลือกตั้งต่อไปครั้งหน้า ขอถามหน่อยถ้าตนไม่พูดก็ไม่รู้สึกกัน ส่วนผลงานของตนจะดีหรือไม่ก็จะปรากฏเอง ไม่ใช่ทำวันนี้แล้วจะเสร็จพรุ่งนี้ ที่ผ่านมามีอุปสรรค์เพราะการบริหารงานเป็นแท่งมาโดยตลอด ไม่มีการบูรณาการ แยกงบประมาณ หากไม่แก้ไขวันนี้ก็จะแก้ไขไม่ได้ เป็นช่องทางให้มีการทุจริต งานไม่ต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าในสัปดาห์หน้าที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำกลุ่ม กทม.พรรคเพื่อไทย นัดหารือกับนักการเมืองเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ก็ผมไม่รับรู้ไง จะไปคุยก็ไปคุยกัน แต่อย่าให้ผิดกฎหมายก็แล้วกัน กฎหมาย คำสั่ง คสช.เขียนไว้ว่าอย่างไร ผมไม่ได้อนุญาต หรืออนุญาต ผมบอกว่าใครจะทำอะไรก็ได้แต่อย่าผิดกฎหมาย ขอให้จำไว้ แค่นั้น” เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าหารือเกิน 5 คนไม่ได้ใช้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่ต้องมาแปลไปแปลมา ติดนิสัยชอบสู้กันด้วยกฎหมาย หาช่องว่างช่องโหว่กันแบบนี้ แล้วที่ผ่านมาเขาไม่เคยคุยกันเลยหรืออย่างไร ก็คุยกันลับๆ ครั้งนี้จะมาคุยเปิดเผยสื่อจะรับผิดชอบด้วยหรือไม่ จะรับได้หรือไม่ถ้าตีกันอีก”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกลุ่มการเมืองดังกล่าวอ้างว่าเป็นการคุยเพื่อบ้านเมือง เพื่อเสนอแนะมายังรัฐบาล รับได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปฏิเสธทันทีว่า “ไม่ได้ ก็ไปคุยกันเงียบๆ มา แล้วส่งมา แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ที่จะส่งมา คือเรื่องทำอย่างไรจะเร่งเรื่องของการนิรโทษกรรม ทำอย่างไรจะมีเรื่องการปรองดอง โดยที่จะต้องลดความขัดแย้งการไล่ล่าฆ่าฟันพวกเขา ผมถามว่าผมไปไล่ล่าฆ่าฟันพวกเขาเรื่องอะไร ผมไม่ใช่ศัตรูกับเขา พวกเขาเป็นศัตรูกับกฎหมาย ทำผิดกฎหมายก็ให้ออกมาว่ากันตามกฎหมายก็จบไปแล้ว แล้วค่อยมาพูดอย่างอื่น ไม่เข้าใจกันหรืออย่างไร หรือพวกคุณจะยอมยกเลิกกฎหมายทุกฉบับ เพื่อให้เกิดความสงบ คุณไม่นึกถึงพวกที่เขาตายกันบ้างหรือ คนที่ถูกยิง ถูกระเบิด ญาติพี่น้องเขาลำบากแค่ไหน รวมพลถึงพวกที่ติดคุกอยู่ เป็นห่วงกันหรือไม่ หรือเป็นห่วงแต่นักการเมือง ห่วงแกนนำถึงได้ออกมาพูดแทนเขาทุกวัน พวกคุณยังฟังอยู่อีกหรือ วันนี้เขาพูดหรือยังว่าเขาจะเข้ามาทำอะไรนอกจากพูดในเรื่องของคดีความเก่า มีเรื่องอื่นไหมที่พูดแล้วสร้างสรรค์ แหกทุกกฎหมายกันทุกวัน กฎหมายก็เสียกันทุกวัน เรื่องการเมืองผิดหรือถูกวันนี้อย่ามาถามผม ไม่ใช่หน้าที่ของผม หน้าที่ของคนที่ชี้ผิดชี้ถูกคือ กกต. เมื่อรับแจ้งมาก็เข้าสู่กระบวนการพิจารณา คสช.กับตำรวจก็ต้องจับกุม จับได้ก็จับ มีปัญหาก็ชะลอ ถ้ารัฐบาลละเลยก็ผิด 157 และหลายคนก็เข้าคุกไปกี่รอบแล้ว”
เมื่อถามว่าถึงกรณีที่นายกฯระบุว่ามีการส่งสัญญาณจากฝ่ายการเมืองถึงการนิรโทษกรรม ปรองดอง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สื่อก็สนใจแต่เรื่องแบบนี้ ไม่ได้มีการส่งสัญญาณใดๆ แต่ตนฟังจากที่มีการพูดกันทั่วไป ตนไม่พูดกับใคร พูดกับสื่อก็มากแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ตัวแทนรัฐบาลเดินทางไปชี้แจงการดำเนินการต่างๆ หลัง คสช.เข้ามายึดอำนาจ ต่อรองเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ว่าได้รับรายงานแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยยูเอ็นได้เตรียมคณะรับฟัง รับทราบการทำความเข้าใจ ตนได้ส่งเอกสาร รูปภาพ บันทึกการปฏิบัติทั้งหมด ทั้งของรัฐบาลและอีกฝ่ายได้ให้ยูเอ็นพิจารณาเพื่อจะได้รู้ถึงเหตุผลและความจำเป็น รู้สิ่งที่ผิดหรือถูก ทั้งนี้ก็แล้วแต่การพิจารณาของยูเอ็น โดยเบื้องต้นยูเอ็นเกิดความเข้าใจ ขอให้ไทยเดินหน้าประเทศไปตามโรดแมปเพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง และรัฐบาลจะต้องเดินหน้าประเทศให้ได้ ทุกอย่างไม่ได้อยู่ที่ตน แต่อยู่ที่คนไทย และผู้ที่จะเข้ามาบริหาร