“ปานเทพ” นำทีม คปพ.ยื่นหนังสือ สนช. ค้านร่าง พ.ร.บ.ปิโตรฯ 2 ฉบับที่ สนช.เตรียมพิจารณา ชี้ไม่ก่อประโยชน์ชาติ ไม่สอดคล้องรายงานผลศึกษา ขาดความชอบธรรม ไม่ได้สร้างอธิปไตยทางพลังงาน อำพรางเป็นของชาติแท้จริงเอื้อเอกชน ชี้เป็นโอกาสเดียวที่จะแก้ กม. ขอ สนช.ยับยั้งร่างฯ แจงร่างของ คปพ.ศึกษาจาก กมธ.สปช. ไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.การเงิน ล่าชื่อเข้า สนช.ได้เลย พรุ่งนี้มารัฐสภาอีก
วันนี้ (23 มิ.ย.) เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) นำโดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้ยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อ 2,000 ราย ต่อนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อแสดงวัตถุประสงค์ต่อ สนช. สำคัญ 2 เรื่อง คือ 1. หนังสือคัดค้านร่าง พ.ร.บ. ปิโตรเลียม (ฉบับที่...) พ.ศ. ... และ พ.ร.บ.ภาษีปิโตรเลียม (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา และกำลังเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม สนช.ในวันพรุ่งนี้ (24 มิ.ย.) ในวาระเร่งด่วน ซึ่งพวกตนห่วงว่าร่างดังกล่าวไม่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง เพราะเป็นกฎหมายที่ไม่สอดรับและสอดคล้องกับรายงานผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และ พ.ร.บ.ภาษีปิโตรเลียม 2514 ที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แต่งตั้ง และมีการลงมติไปแล้ว และยังผ่านการรับฟังความเห็นของประชาชนมาแล้ว จึงถือว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีความบกพร่อง และไม่สอดรับกับรายงานดังกล่าว จึงขาดความชอบธรรมที่จะนำเสนอและขอมติต่อ สนช. ดังนั้นจึงอยากให้ สนช.ยับยั้งและไม่รับร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับ เพราะจะเป็นผลเสียต่อประเทศชาติและเป็นมรดกบาปแก่ลูกหลานต่อไปในอนาคต
นายปานเทพกล่าวว่า การที่พวกตนคัดค้านเพราะร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับนี้ไม่ได้สร้างอธิปไตยทางพลังงานอย่างแท้จริง แต่กลับยกเอกสิทธิ์ในการบริหารปิโตรเลียมและการขายปิโตรเลียมให้แก่เอกชน โดยปราศจากองค์กรที่ถือกรรมสิทธิ์บริหารและขายปิโตรเลียมในนามบริษัทพลังงานแห่งชาติ หรือบริษัทน้ำมันแห่งชาติที่ สปช.เคยรับรองผลการศึกษาเอาไว้ ทำให้รูปแบบทางเลือกในระบบแบ่งปันผลผลิต หรือระบบจ้างผลิต เพื่อให้ทรัพยากรตกเป็นของชาตินั้นกลับเป็นเพียงการอำพรางเท่านั้น เพราะเนื้อแท้แล้วกรรมสิทธิ์การบริหารและการขายก็ยังตกเป็นของเอกชนเช่นเดิม
“เนื่องในโอกาสที่ไทยใกล้หมดอายุสัมปทานปิโตรเลียมที่กำลังจะมีขึ้นในปี 2565 และ 2566 จึงถือเป็นวาระสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นโอกาสเดียวที่เราจะแก้ไขกฎหมายให้การผลิต การบริหาร และการขายปิโตรเลียมเป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง จึงขอให้ยับยั้งร่าง พ.ร.บ.นี้เพื่อนำอธิปไตยการใช้พลังงาน อิสรภาพในการบริหารและการขายให้เป็นของรัฐไทยเพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทย และเป็นข้อเสนอของปวงชนชาวไทย โดยทางเครือขายยังได้จัดทำเอกสารถึง สนช.ทั้ง 218 คน เป็นรายบุคคล เพื่อขอให้นายสุรชัยได้นำส่งไปยังสมาชิกเพื่อประกอบการประชุมในวันพรุ่งนี้ด้วย”
นายปานเทพกล่าวว่า นอกจากนี้ ทางเครือข่ายยังได้ทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบกิจการปิโตรเลียมโดยประชาชน ของประชาชน และเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นร่างที่ภาคประชาชนทำการร่างขึ้นโอยอาศัยการศึกษาของคณะกรรมาธิการฯ ของ สปช. จึงมีความชอบธรรมที่จะนำไปพิจารณาในการประชุมของ สนช. โดยเราได้ปฏิบัติตาม ม.4 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ที่บัญญัติว่าเอกสิทธิ์ หรือสิทธิใดของประชาชนที่เคยถูกคุ้มครองยังคงได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้ เราจึงดำเนินการตาม พ.ร.บ.การเข้าชื่อของประชาชนตามกฎหมายและ ตนพิจารณาแล้วว่าไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.การเงินที่ต้องขอความเห็นชอบจาก ครม. เพราะเป็นการบริหารทรัพยากรของชาติเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยจะดำเนินการรวบรวมรายชื่อจำนวน 1 หมื่นรายชื่อให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้นำเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมของ สนช. จึงฝากความหวังไว้กับสมาชิก สนช.โปรดคุ้มครองอธิปไตยของชาติ และให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนชาวไทย โดยทางเครือข่ายจะมาชุมนุมที่บริเวณหน้ารัฐสภาเพื่อขอร่วมฟังการประชุม สนช.ในวันพรุ่งนี้ด้วย
ด้านนายสุรชัยกล่าวว่า ตนจะรับทั้งสองเรื่องนี้ไว้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะตนก็เป็นประชาชนเหมือนกัน จากนี้จะต้องนำเข้ากระบวนการตามขั้นตอน เรื่องที่เสนอมาเป็นเรื่องของการริเริ่มก็จะส่งให้ฝ่ายกฎหมายเป็นคนศึกษา เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรแผ่นดินต้องให้ความสำคัญเช่นกัน และเป็นหน้าที่โดยตรงของคนไทยทุกคน และ สนช.ทุกคนก็เป็นคนไทยก็มีความห่วงใยเช่นกัน และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด