เมืองไทย 360 องศา
“คณะศิษย์เห็นพ้องว่า พระธัมมชโยควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยการมอบตัวก็ต่อเมื่อบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ เพราะขณะนี้ขาดหลักประกันสิทธิเสรีภาพในกระบวนการยุติธรรม”
ข้อความตอนหนึ่งของแถลงการณ์ของคณะลูกศิษย์ของ ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่แสดงท่าทีขัดขวางการเข้าไปตรวจค้น และจับกุมผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร ของเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้การสนับสนุนด้านกำลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองที่นำหมายค้นและหมายจับตามคำสั่งศาลเข้าไปภายในวัดพระธรรมกาย เมื่อตอนเช้าวันที่ 16 มิถุนายน
ความหมายของแถลงการณ์ดังกล่าว ก็คือ “ไม่มอบตัวและไม่ให้เข้ามาจับกุม” เป็นอันขาด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ ข้อความในแถลงการณ์ที่ยกมาอ้างนั้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พวกเขากำลังพยายามลากโยงจากคดีอาญารับของโจรและฟอกเงินให้กลายเป็น “คดีการเมือง” อย่างชัดเจน และนี่คือ ท่าทีที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนถึงเจตนาเป็นครั้งแรก
ก่อนหน้านี้ สิ่งที่พวกเขาพยายามยื้อเวลาในการรับทราบข้อกล่าวหาของ ธัมมชโย ก็คือ ข้ออ้างเรื่องป่วย หรืออาพาธ ต้องการให้คณะแพทย์ที่เป็นกลางเข้าไปเป็นพยานในการตรวจอาการ แต่ในที่สุดก็ไม่ยอมให้คณะแพทย์เข้าไปตรวจอาการพิสูจน์อ้างว่าไม่มีประโยชน์ เพราะดีเอสไอส่งสำนวนคดีไปให้อัยการแล้ว
อย่างไรก็ดี จากข้อความดังกล่าวก็ได้เห็นท่าทีที่ชัดเจน ในแบบไม่ต้องอ้อมค้อมกันอีกต่อไป แม้ว่าจะอ้างโน่นอ้างนี่ แต่ในที่สุดก็มาจบด้วยเหตุผลทางการเมือง อ้างว่า “บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีหลักประกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพในกระบวนการยุติธรรม”
หากไม่ดูชื่อในท้ายจดหมายตอนแรก คงนึกว่านี่คือจดหมายของ “จ่านิว” หรือ สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในเวลานี้
ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีคำถามไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะก่อนหน้านี้ เคยประกาศว่าจะเคร่งครัด จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค และทุกคดีต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน แต่จากแถลงการณ์ดังกล่าวของคณะศิษย์วัดพระธรรมกาย มีความหมายเหมือนกับว่า “ไม่ยอมรับอำนาจรัฐและกระบวนการยุติธรรม” ในเวลานี้ รวมไปถึงไม่ยอมรับคณะรักษาความสงบแห่งชาติด้วยนั่นแหละ
แน่นอนว่า การบุกเข้าไปจับกุม ธัมมชโย ถึงภายในวัดจะเป็นเรื่องยาก และเสี่ยงต่อการปะทะเสียเลือดเนื้อ แต่ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ก็ต้องรักษากฎหมาย ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค ทุกอย่างต้องพิจารณากันด้วยพยานหลักฐาน จะใช้ความเชื่อและความรู้สึกไม่ได้
สำหรับ ธัมมชโย นาทีนี้หากให้เดาจากความรู้สึกก็พอเข้าใจได้ไม่ยาก ก็คือ เขาไม่มีทางที่จะเดินเข้าคุก หรือแม้แต่จะเดินขึ้นศาลอีกเป็นอันขาด เพราะคิดว่าคงจะไม่เกิด “เหตุมหัศจรรย์” เหมือนกับเมื่อปี 2549 ในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ในยุคที่มีอัยการสูงสุดบางคนถอนฟ้องคดีฉ้อโกงกลางศาลฎีกาก่อนวันพิพากษาตัดสินคดีเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ดังนั้น เมื่อโดนคดีฟอกเงินและรับของโจรอีกครั้ง ก็คงมั่นใจได้เลยว่าการยอมให้จับกุมนั้นคงเป็นได้ยาก
การอ้างว่าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีหลักประกันเรื่องเสรีภาพและกระบวนการยุติธรรมคราวนี้มันก็คือ การแสดงท่าทีที่เหมือนกับว่าเป็นการประกาศ “แนวร่วม” กับฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติอย่างชัดเจน ซึ่งก็ต้องหมายถึงพวกเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร ที่หากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ และความเคลื่อนไหวในอดีตล้วนเชื่อมโยงกันได้ไม่ยาก ดังนั้น การประกาศแบบอ้อม ๆ ว่า ไม่ยอมรับอำนาจของ คสช. ในคราวนี้ มันก็ยังสามารถกระทบชิ่งไปได้ถึงการ “โหวตคว่ำ” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ล่าสุดทางพรรคเพื่อไทยได้ประกาศชัดเจนไปแล้ว
สำหรับ ธัมมชโย ก็ชัดเจนว่า ต้องการให้ลากยาว จนคณะรักษาความสงบแห่งชาติพ้นไป และมีรัฐบาลใหม่ หรือมีการเลือกตั้งใหม่ เพราะเชื่อมั่นว่า พรรคการเมืองของ ทักษิณ ชินวัตร ต้องชนะเลือกตั้งได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ถึงตอนนั้นจะมอบตัวหรือไม่ก็ไม่มีความหมายแล้ว อย่างไรก็ดีตอนนี้ก็ต้องขึ้นกับว่าทางฝ่ายรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะดำเนินการต่อไปอย่างไร เพราะท่าทีที่เกิดขึ้น ก็คือ การท้าทายและย่ำยีกฎหมาย !!