“เว็บไซต์ไทยพีบีเอส” ชี้แจงกระบวนการผลิตรายการเถียงให้รู้เรื่อง ตอน “สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้คุ้มเสียจริงหรือ?” ระบุ ตัดต่อรายการใหม่ให้เหลือเพียงผู้นำเสนอหลัก 2 คน คือ “รสนา - มนูญ” เพื่อความสมดุลของข้อมูล ยืนยันไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก
วันนี้ (8 มิ.ย. 2559) มีรายงานว่า ช่วงค่ำวันนี้ เว็บไซต์องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ได้ชี้แจงกระบวนการผลิตรายการเถียงให้รู้เรื่อง ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2559 ภายหลัง เพจเฟซบุ๊กของ น.ส.รสนา โตสิตระกูล และ นายมนูญ ศิริวรรณ เผยแพร่ หมายเหตุความจริงวิวาทะรายการเถียงให้รู้เรื่อง กรณีสัมปทานปิโตเลียม” โดยมีรายละเอียดดังนี้
สืบเนื่องจากรายการเถียงให้รู้เรื่อง ตอน “สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้คุ้มเสียจริงหรือ?”
https://www.youtube.com/watch?v=5pj8V5RfzeQ
ออกอากาศวันที่ 7 มิถุนายน 2559 มีรูปแบบรายการที่แตกต่างจากตอนอื่น ๆ คือ มีการนำเสนอข้อมูลและความเห็นเฉพาะผู้นำเสนอหลัก 2 คน คือ คุณมนูญ ศิริวรรณ และ คุณรสนา โตสิตระกูล แต่ไม่มีนักวิชาการทำหน้าที่ commentator ซึ่งเป็นรูปแบบรายการที่กำหนดไว้
ฝ่ายบริหาร องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) มีประเด็นชี้แจงดังนี้
1. รายการเถียงให้รู้เรื่องตอนดังกล่าว มีการบันทึกรายการในคืนวันที่ 6 มิถุนายน 2559 โดยมีผู้นำเสนอข้อมูลและความเห็น 2 คน คือ คุณมนูญ ศิริวรรณ และ คุณรสนา โตสิตระกูล โดยมีนักวิชาการร่วมรายการในฐานะ commentator 2 คน คือ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านแรงงานและ ผศ.ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และดำเนินรายการโดยคุณอภิรักษ์ หาญพิชิตวาณิช
เมื่อบันทึกรายการเสร็จ คุณรสนาได้ทักท้วงผู้ดำเนินรายการ ว่า รูปแบบรายการไม่สมดุล คือ commentator ทั้งสองคนมีความคิดในกลุ่มความเห็นเดียวกัน จึงเกิดความไม่เป็นธรรมที่มีผู้อภิปรายไปในกลุ่มความเห็นเดียวกันถึง 3 คน ในขณะที่มีเพียงตนคนเดียวในการให้ความเห็นอีกด้านหนึ่ง ซึ่งขัดกับหลักการที่สำคัญของ ส.ส.ท. ที่จะต้องดำรงความเป็นกลางในการนำเสนอความเห็นทั้ง 2 ฝั่งอย่างสมดุล
ต่อมาเมื่อผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้พิจารณาเทปบันทึกรายการเถียงให้รู้เรื่องตอนนี้แล้ว เห็นว่า กระบวนการผลิตรายการในการเชิญนักวิชาการอาจไม่มีความหลากหลายและแตกต่างทางความคิด ตามจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้รายการให้ความแตกต่างหลากหลายทางความคิดและมีความเป็นกลางอย่างแท้จริง จึงตัดสินใจที่จะปรับปรุงการผลิตรายการตอน "สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้คุ้มเสียจริงหรือ?” โดยเสนอทางเลือก 2 ทาง คือ บันทึกรายการตอนนี้อีกครั้ง โดยคงผู้นำเสนอข้อมูลและความเห็นหลัก คือ คุณมนูญ ศิริวรรณ และคุณรสนา โตสิตระกูล ส่วน commentator ให้มี ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ และ นายธีรชัย ภูวนารถนรานุบาล เพื่อให้มีองค์ประกอบของผู้ให้ความเห็นที่แตกต่าง หลากหลาย และเกิดความสมดุล แต่ทางเลือกนี้คุณมนูญ ไม่เห็นด้วย
ผู้บริหาร ส.ส.ท. และผู้รับผิดชอบรายการ จึงตัดสินใจเลือกแนวทางที่ 2 คือ ตัดเทปรายการใหม่ โดยตัดความเห็นของนักวิชาการหรือ commentator ออก และคงไว้เฉพาะการถกเถียงระหว่างคุณมนูญและคุณรสนาไว้ทุกคำถามโดยไม่มีการตัดทอน และการตัดสินใจดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานการสร้างสมดุลของข้อมูล โดยที่มิได้มีการแทรกแซงจากภายนอกแต่อย่างใด
2. ด้วยความเคารพและให้เกียรติผู้ร่วมรายการทุกคน โปรดิวเซอร์รายการได้โทรศัพท์แจ้งให้ผู้ร่วมรายการทุกคนทราบในค่ำวันที่ 7 มิถุนายน 2559 ก่อนรายการออกอากาศ พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลว่าต้องการให้รายการให้ความสมดุลในการนำเสนอข้อมูลและความเห็น
3. ส.ส.ท. พร้อมเปิดพื้นที่จัดรายการโทรทัศน์เป็นวาระพิเศษเพื่อให้ฝ่ายต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ได้นำเสนอข้อมูลและความเห็นในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ บนหลักการการมีตัวแทนจากฝ่ายต่าง ๆ อย่างสมดุล เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
มีรายงานว่า “ไทยพีบีเอส” ได้ชี้แจง รายการ “เถียงให้รู้เรื่อง” ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสวันที่ 7 มิ.ย. 2559 รสนา โตสิตระกูล เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงาน และ มนูญ ศิริวรรณ เครือข่ายปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน ถกเถียงพูดคุยกันเรื่องการเปิดประมูลสัมปทานรอบใหม่
ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงาน ได้นำเสนอ 2 แนวทางให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาในการให้สัมปทานรอบใหม่ของแหล่งเอราวัณและแหล่งบงกชที่จะสิ้นสุดอายุสัมปทานในอีก 7 ปีข้างหน้า คือ การเจรจากับผู้รับสัมปทานเดิมเพื่อให้ดำเนินการต่อ และ การเปิดประมูลทั่วไป
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2559 กพช. มีมติให้ใช้วิธีเปิดประมูล โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อความโปร่งใส แต่กระทรวงพลังงานกลับเห็นว่า การเปิดประมูลต้องใช้เวลาถึง 5 ปี เพื่อให้เจ้าของสัมปทานรายเดิมขนย้ายอุปกรณ์ออกจากพื้นที่และผู้รับสัมปทานรายใหม่ต้องเข้ามาสำรวจเพิ่มเติม ซึ่งกระทรวงพลังงานกังวลว่าช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนั้น อาจทำให้การผลิตหยุดชะงัก ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติมาทดแทนส่วนที่หายไป
ขณะที่ เฟซบุ๊กของ น.ส.รสนา ระบุว่า รายการเถียงให้รู้เรื่องตอน “สัมปทานปิโตรเลียมได้คุ้มเสียจริงหรือ?” ออกอากาศเมื่อคืนวันที่ 7 มิถุนายน 2559 ที่มีผู้ร่วมรายการ คือ คุณมนูญ ศิริวรรณ ในฐานะตัวแทนของกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน (ERS) กับ รสนา โตสิตระกูล ในฐานะตัวแทนของเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.)
รายการเถียงให้รู้เรื่องเชิญผู้วิจารณ์ 2 ท่าน คือ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มERSร่วมกับคุณมนูญ ศิริวรรณ และดร.อีกท่านจากจุฬา (จำชื่อไม่ได้) ซึ่งมีแนวคิดอยู่ในแนวทางเดียวกับกลุ่มความคิดของ ERS
ดิฉันไม่ได้รับการบอกล่วงหน้าว่าไปเถียงกันในฐานะตัวแทน คปพ. และไม่ได้รับแจ้งว่ามีใครเป็นผู้วิจารณ์ หากเป็นการเถียงในฐานะตัวแทนกลุ่ม เมื่อกลุ่ม ERS มีคุณมนูญเป็นตัวแทน และมี ดร.พรายพล ซึ่งอยู่ในกลุ่มแกนของ ERS เป็นผู้ให้ความเห็นเสริมคุณมนูญ ฝ่ายคปพ.ก็ควรมีทั้งผู้พูดและผู้วิจารณ์ที่มาจาก คปพ. เช่นเดียวกัน แต่ในการเชิญคนมาร่วมรายการของไทยพีบีเอส ที่เชิญคนวิจารณ์ที่มีแนวความคิดในสายเดียวกับฝ่าย ERS จะโดยความไม่รู้ หรือเตี๊ยมกันก็ไม่ทราบได้ แต่ทำให้การเถียงกันคราวนี้ไม่เป็นธรรมต่อฝ่าย คปพ.
ในการอัดเทปล่วงหน้าคืนวันที่ 6 มิถุนายน พิธีกรให้โอกาสคุณมนูญได้เป็นทั้งคนเปิดประเด็น และปิดประเด็นโดยพิธีกร กล่าวว่า ให้คุณมนูญเป็นผู้กล่าวปิดท้ายแบบปลายเปิดอีกด้วย ทั้งที่การเถียงกัน 2 ฝ่าย ควรจะให้ฝ่ายหนึ่งเปิด และอีกฝ่ายเป็นผู้ปิดท้าย จึงจะยุติธรรม ยิ่งกว่านั้นในระหว่างรายการ พิธีกรจะให้โอกาสคุณมนูญพูดได้มากกว่าทั้งจำนวนครั้งและจำนวนเวลา เมื่อบวกกับผู้วิจารณ์อีก 2 ท่าน เท่ากับตัวแทนฝ่าย ERS มีโอกาสพูดเสนอแนวคิดได้มากกว่า คปพ. จนผิดสังเกตว่าเป็นรายการเตี๊ยมกันมาก่อนหรือไม่?
ดิฉันได้กล่าวกับพิธีกรหลังเสร็จการอัดเทปว่าจัดแบบนี้ไม่เป็นธรรม เป็นแบบ 3 รุม 1
หากจะให้สองฝ่ายที่มีแนวคิดต่างกันมานำเสนอ ควรจะมีจำนวนคนที่เท่ากัน และมีเวลาที่เท่ากันด้วย ยิ่งกว่านั้นไม่ควรเป็นในลักษณะการโต้วาที แต่ควรนำข้อมูล 2 ฝ่ายมาเปรียบเทียบในประเด็นเดียวกันเพื่อเสนอต่อสาธารณชนตามวัตถุประสงค์สื่อสาธารณะ และวัตถุประสงค์ของรายการที่ต้องการสื่อความจริง 2 ด้าน เพื่อให้ผู้ชมได้ตัดสินใจเลือก จึงไม่ควรเปิดโอกาสการเตรียมข้อมูลให้ฝ่ายหนึ่งโดยไม่บอกอีกฝ่ายหนึ่ง พิธีกรรู้ล่วงหน้าว่าฝ่ายคุณมนูญมีเอกสารมานำเสนอ แต่พิธีกรเพิ่งมาถามดิฉันตอนจะเข้าสู่รายการว่ามีเอกสารประกอบไหมดิฉันจึงหาภาพมาแสดงตามที่หาได้ในเวลานั้น
วันรุ่งขึ้น ดิฉัน โทร.หาเจ้าหน้าที่ที่เชิญดิฉันและร้องเรียนว่ารายการนี้จัดแบบเอียงข้างเกินไป และขอให้แก้ไขโดยอัดรายการใหม่ และให้มีผู้วิจารณ์ที่เป็นฝ่าย คปพ. มิเช่นนั้นดิฉันไม่เห็นด้วยที่จะให้ออกอากาศเทปรายการนี้
ทางเจ้าหน้าที่จึงนำเรื่องไปหารือกับหัวหน้ารายการกรณีที่ดิฉันร้องเรียน
ทางสถานียินยอมจะอัดเทปรายการใหม่โดยดิฉันเสนอ คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาลมาเป็นผู้วิจารณ์ของฝ่ายคปพ.แต่ภายหลังทราบจากทางสถานีว่าคุณมนูญไม่ยอมมาอัดเทปใหม่
รองผู้อำนวยการของไทยพีบีเอส หลังจากได้ดูเทปรายการนี้แล้ว มีความเห็นว่าสัดส่วนของผู้ร่วมรายการขัดกับหลักความเป็นกลางตามที่ดิฉันทักท้วง เพราะนักวิชาการที่มาร่วมรายการสังกัดอยู่ในกลุ่มERSอย่างชัดเจน ท่านจึงเสนอวิธีแก้ไขว่าจะตัดผู้วิจารณ์ออกไป
แม้ดิฉันจะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เพราะเห็นว่าควรอัดเทปรายการใหม่โดยมีน้ำหนักของตัวแทนสองฝ่ายเท่ากัน แต่ก็ไม่ประสงค์จะแทรกแซงสื่อ ซึ่งย่อมมีสำนึกตามจรรยาบรรณวิชาชีพของสื่ออยู่แล้วว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
การที่คุณมนูญออกมากล่าวหาว่าที่ทางสถานีตัดผู้วิจารณ์ออกไป เป็นเพราะผู้อำนวยการอยู่ในแวดวงNGOนั้น เป็นการกล่าวที่สมควรหรือไม่? เพราะประเด็นที่ควรพิจารณาก็คือ มีความเป็นธรรมหรือไม่ที่ให้ตัวแทนของกลุ่ม ERS มีมากกว่าตัวแทนของกลุ่ม คปพ. ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณมนูญและผู้รับเชิญ แต่เป็นความผิดพลาดของเจ้าของรายการเองที่ก่อให้เกิดความลำเอียงจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องแก้ไขเมื่อถูกร้องเรียน
แต่แล้วคุณมนูญกลับไปยกตัวอย่างรายการอื่นที่มีการถูกรุมแบบรายการนี้ ว่าเมื่อไม่มีการแก้ไขรายการนั้น รายการนี้ก็ไม่ควรต้องได้รับการแก้ไขอย่างนั้นหรือ?
ดิฉันเชื่อว่า กรณีรายการที่ยกตัวอย่างนั้น ถ้ามีการทักท้วงจากผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ดิฉันเชื่อว่าสื่อที่มีจรรยาบรรณย่อมต้องรับฟังและแก้ไขปัญหาด้วยจิตสำนึกอิสระอย่างแน่นอน และขอพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ในเนื้อหารายการ “สัมปทานปิโตรเลียม ได้คุ้มเสียจริงหรือ?” นั้น คุณมนูญก็ได้รับการชงให้พูดอย่างเต็มที่มากกว่าทั้งช่วงเปิดประเด็น และช่วงปิดประเด็น “แบบปลายเปิด” ขนาดนี้แล้วยังไม่พอใจอีกหรือ?
การพูดแบบนี้ อาจทำให้คนเข้าใจได้ว่า ถ้าตัวเองเป็นคนได้เปรียบก็พอใจ บอกให้ประชาชนตัดสินใจเอาเอง? แต่ถ้าท่านเป็นฝ่ายถูก 3 รุม 1 ท่านจะยอมหรือไม่?
จึงไม่ควรเบี่ยงเบนประเด็นด้วยการกล่าวหาว่า NGO ใช้อิทธิพลเข้าไปเซนเซอร์รายการดังกล่าว เพราะคนทำงานภาคประชาสังคมตัวเล็ก ๆ อย่างดิฉันไม่มีอิทธิพลอะไรนอกจากความยึดมั่นในหลักการอันชอบธรรมและความเท่าเทียม
คนส่วนใหญ่สังคมไทยที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงย่อมรู้ดีว่าผู้ทรงอิทธิพลตัวจริงนั้นคือใคร ?
“สัมปทานปิโตรเลียมรอบ
ได้คุ้มเสียจริงหรือ? รายการเถียงให้รู้เรื่อง