“อนันตพร” เมินข้อเสนอรับจ้างผลิตแหล่งก๊าซฯ เอราวัณ-บงกช

“อนันตพร” เมินข้อเสนอแนวทางเปิดประมูลแหล่งก๊าซฯ เอราวัณ-บงกช ด้วยวิธีรับจ้างผลิตย้ำต้องศึกษาให้ดีว่าไทยมีความพร้อมหรือไม่ และการจัดตั้งบรรษัทพลังงานฯมาบริหารก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด พูดได้แต่ต้องปฏิบัติได้ด้วย

พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้เสนอให้การประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ และบงกชที่จะสิ้นสุดอายุสัมปทานปี 2565-66 โดยใช้รูปแบบของการรับจ้างผลิตนั้นควรจะศึกษาให้ดีว่าไทยมีความพร้อมในการสำรวจหรือผลิตหรือไม่ เนื่องจากแหล่งก๊าซฯที่หมดสัมปทานทรัพย์สินจะตกเป็นของรัฐก็จริงแต่สิ่งที่คืนมาก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้ทั้งหมดเพราะต้องเจาะหลุมผลิตใหม่เพื่อให้ได้ปริมาณก๊าซฯ เพิ่มเติม ขณะที่หลุมผลิตเดิมที่คืนรัฐมาอาจมีปริมาณก๊าซฯ เหลือไม่มาก

“ทุกคนอยากแสดงความเห็นก็เข้าใจ แต่ขอให้แสดงความเห็นที่ถูกต้องตามหลักวิชาการด้วย เก่งพูด เก่งวิชาการมีหมด แต่อย่าเพียงแต่ดูว่ามันง่าย ต้องดูว่าทางปฏิบัติเป็นไปได้หรือไม่ด้วย เพราะผู้ที่จบมาโดยตรงเขาปฏิบัติ ผมเองก็สอบถาม เราฟังหมด แต่ควรศึกษาให้ดีอย่าเอาประเทศไปเสี่ยง” รมว.พลังงานกล่าว

นอกจากนี้ กรณีเสนอให้จัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติมาดำเนินการก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด โดยกระทรวงพลังงานเองได้เลือกที่จะใช้แนวทางประมูลแหล่งสัมปทานดังกล่าวเพราะเห็นว่าเป็นทางสายกลางอยู่แล้ว เพราะเมื่อการเปิดเจรจาถูกกลาวหาว่าไม่โปร่งใส และการดำเนินงานทั้งหมดก็ทำตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่กำหนดให้ประมูลและต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ส่วนจะประมูลรูปแบบใดก็ขอให้รอ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. ... และพ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ... ผ่านความเห็นชอบออกมาเป็นกฎหมายเสียก่อน

ทั้งนี้ รมว.พลังงานเป็นประธานในพิธีเปิดตัวโครงการเยาวชนกับการอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านความรับผิดชอบต่อสังคมระหว่าง 3 การไฟฟ้ามอบทุนสนับสนุนให้แก่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ เป็นหนึ่งในโครงการเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๙ พรรษา ในปี ๒๕๕๙ จึงกำหนดจัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านพลังงานกับครูและนักเรียนโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 89 โรงเรียน ในพื้นที่ 77 จังหวัด

โดยกระทรวงพลังงาน โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง บูรณาการกิจกรรมเพื่อพัฒนาเยาวชนด้านการอนุรักษ์พลังงาน ระหว่างปี 2558-2560 ซึ่งถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญของแวดวงพลังงานไฟฟ้าไทยในการพัฒนาองค์ความรู้ของเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติให้เกิดการเรียนรู้ และเข้าใจการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด