“จอน-หมอนิรันดร์-ไกรศักดิ์” เป็นตัวแทนนักวิชาการยื่นหนังสือผู้ตรวจฯ ให้สอบและชงศาล รธน.วินิจฉัย พ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 61 ขัด รธน.หรือไม่ ชี้คำว่า “รุนแรง ก้าวร้าว และปลุกระดม” ปชช.ไม่เข้าใจแสดงออกอย่างไรผิด กม. คำหยาบไม่ควรแต่ไม่ใช่ผิด กม. กำจัดสิทธิเกินไป โทษหนักเกินไป แถมมีการตีความ กม.อย่างกว้าง ปัดล้มประชามติ ต้องการให้เปิดกว้างแสดงความเห็น กันเกิดความขัดแย้ง
วันนี้ (10 พ.ค.) นายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) พร้อมด้วย นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ อดีตสมาชิกวุฒิสภา เป็นตัวแทนนักวิชาการกว่า 100 คนที่เข้าชื่อยื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบและเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในมาตรา 61 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวมีคำว่า “รุนแรง ก้าวร้าว และปลุกระดม” ซึ่งไม่เคยมีคำนิยามอยู่ในกฎหมายใดมาก่อน ประชาชนไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการแสดงออกอย่างไรจะผิดกฎหมาย ส่วนที่กำหนดห้ามใช้ถ้อยคำหยาบคาย แม้คำนี้จะเป็นสิ่งที่ไม่ควร แต่ไม่ใช่การกระทำผิดกฎหมาย จึงเห็นบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินขอบเขต ไม่มีเหตุอันสมควร อีกทั้งบทกำหนดโทษก็มีความรุนแรงเกินไป ไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำที่เป็นเพียงแค่การแสดงความคิดเห็น ซึ่งอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปีนั้นเทียบได้กับความผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
นอกจากนั้น ในทางปฏิบัติยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่รัฐตีความกฎหมายอย่างกว้าง มีการรื้อนิทรรศการการเมืองเรื่องรัฐธรรมนูญของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 25 เม.ย.มีความพยายามจับกุมนักวิชาการมหาวิทยาลัยมหิดลที่แจกเอกสารรรรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยไม่ระบุเหตุผลที่ชัดเจนว่าขัดกฎหมายอย่างไร และยังมีการเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้โพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญด้วยถ้อยคำหยาบคายของกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ประชาชนจำเป็นต้องได้รับข้อมูลอย่างรอบด้านเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจ บรรยากาศของสังคมที่เปิดกว้างสำหรับการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นในหมู่ประชาชน เพื่อให้สาธารณชนได้เรียนรู้เข้าใจข้อดีข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญก่อนร่วมกันออกเสียงประชามติ แต่การที่กฎหมายดังกล่าวมีบทกำหนดโทษสูงทำให้ประชาชนหวาดกลัวในการสื่อสารหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล ในขณะที่รัฐบาลเดินหน้าสื่อสารข้อมูลฝ่ายเดียว การบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้จะส่งผลให้การทำประชามมติสูญเสียความชอบธรรม
“การยื่นเรื่องครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาจะล้มการทำประชามติ ตรงกันข้ามคือต้องการให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่แต่มาตรา 61 ของกฎหมายดังกล่าวทำให้ประชาชนเกร็งในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งขัดหลักการการความคิดเห็นของประชาชนที่เป็นสิทธิเสรีภาพที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับ จึงอยากให้มีการส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยเร็ว”
ด้าน นพ.นิรันดร์กล่าวว่า ตนกังวลว่ากฎหมายดังกล่าวจะขยายความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไทยขึ้นมาอีก ทั้งที่ไม่ควรเกิดขึ้น แม้การทำประชามติจะเป็นเรื่องที่ดีในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย แต่เป้าหมายการทำประชามติก็เพื่อให้ประชาชนเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ บรรยากาศของสังคมจึงต้องเปิดกว้าง ไม่ใช่สังคมในความเงียบ ความกลัว ประชาชนไม่อยากพูดความจริง ทั้งที่กระบวนการทำประชามติคือการมีส่วนร่วมของประชาชนจึงควรเปิดกว้างในการแสดงความคิดเห็น เปิดกว้างให้ประชาชนรับรู้ข้อมูล ทั้งนี้การที่จะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้นไม่เกี่ยวกับตัวรัฐบาล หรือ คสช. แต่เป็นเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ หากไม่รับก็ไม่ใช่การต่อต้านรัฐบาล แต่เป็นประโยชน์ของรัฐบาลและ คสช.มากกว่ารัฐธรรมนูญยังมีเนื้อหาที่จะต้องปรับแก้ อย่าไปติดกับดักคู่ตรงข้ามว่าหากรับแล้วเป็นพวกรัฐบาล หากไม่รับเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล
ขณะที่นายไกรศักดิ์กล่าวว่า ควรเปิดกว้างให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ในร่างรัฐธรรมนูญได้ เพราะหากสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่มีการแสดงความคิดเห็น ไม่มีการรณรงค์ ประชาชนก็จะไม่เข้าใจเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ เพราะส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจภาษากฎหมาย
ขณะที่นายรักษเกชากล่าวว่า เข้าใจว่าเรื่องดังกล่าวเป็นกรณีเร่งด่วน ก็จะเร่งเสนอต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน พิจารณาเพื่อมีความเห็นต่อไป