เมืองไทย 360 องศา
แน่นอนว่า ผลงานกับความศรัทธาย่อมเป็นของคู่กันจนบางครั้งไม่แน่ใจว่าอย่างไหนมาก่อนมาหลัง หรือว่าต้องตีคู่มาพร้อม ๆ กัน เหมือนกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติกำลังประสบอยู่ในเวลานี้
พิจารณากันตามความเป็นจริง สภาพของพวกเขาในเวลานี้เริ่มแตกต่างกับช่วงที่นำกำลังก่อรัฐประหารเข้าควบคุมอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา ในช่วงเวลานั้นความเชื่อมั่นศรัทธาสูงปรี๊ด เนื่องจากสังคมเชื่อว่าพวกเขาจะเข้ามากอบกู้วิกฤติของบ้านเมืองในทุกด้านกลับคืนมา ขณะเดียวกันหลังจากได้อำนาจมาอยู่ในมืออย่างเบ็ดเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ประกาศว่า จะจัดการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันให้ลดลงหรือหมดสิ้นไป โดยประกาศเป็น “วาระแห่งชาติ” แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ย่อมโดนใจชาวบ้านทั่วบ้านทั่วเมือง
ขณะเดียวกัน ที่ได้ใจชาวบ้านเพิ่มขึ้นไปอีก ก็คือ “การประกาศปฏิรูปทุกด้าน” พร้อม ๆ กับการตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ ขึ้นมารองรับ การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อย่างไรก็ดี จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ เวลาร่วมสองปีแล้วที่เขาอ้าง “สถานการณ์พิเศษ” ขอมีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือ แต่ผลงานที่ออกมากลับสวนทางกันห่างกันลิบลับ
หากพูดกันแบบตรงไปตรงมาแบบไม่ต้องเกรงใจอารมณ์หงุดหงิดรายวัน ก็ต้องบอกว่า “ไม่คุ้มค่าสมการรอคอย” เพราะหากพิจารณาจากผลงานทุกด้านเริ่มจากการแก้ปัญหาปากท้องของชาวบ้านที่ถือว่าเป็นเรื่องหลักที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ก็ต้องบอกว่า “สอบไม่ผ่าน” ข้างของแพง ค่าครองชีพสูง ค่าใช้จ่ายประจำวันไม่ได้ลดลงตามต้นทุนน้ำมันที่ถูกลงในรอบปีที่ผ่านมา หากบอกว่าพูดเวอร์กล่าวหาแบบอคติก็ลองสอบถามตัวเองดูก็แล้วกันมันจริงหรือไม่ ลองถามคนรอบตัวสิว่าเศรษฐกิจในยามนี้เป็นอย่างไร ฝืดเคืองซบเซา หรือว่าจับจ่ายใช้คล่อง แต่ละบริษัทมีผลประกอบการดี เตรียมรับโบนัสเฮกันทั่วหน้าหรือเปล่า หรือว่าทุกอย่างตรงกันข้าม
การแก้ปัญหาในระบบราชการ การเบิกจ่ายงบประมาณมีความล่าช้าหรือไม่ หรือโครงการขนาดใหญ่จนถึงเวลานี้เริ่มลงมือก่อสร้างไปแล้วกี่โครงการ ทั้งที่เกือบทั้งหมดล้วนเป็นโครงการต่อเนื่อง ไม่ใช่โครงการที่คิดขึ้นใหม่ ด้านราคาผลผลิตทางด้านการเกษตรมีสินค้าตัวไหนบ้างที่ราคาดี สร้างรายได้ให้ชาวบ้าน แน่นอนว่า อาจจะเถียงว่าต้องประสบกับภาวะภัยแล้งแสนสาหัสเป็นภัยธรรมชาติก็อาจพูดแบบนั้นได้ แต่นั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัว เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มในอนาคต
หันมาพิจารณาเรื่อง “วาระปฏิรูป” บ้าง โดยเฉพาะความต้องการเร่งด่วนของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปเรื่องพลังงาน เป็นต้น ทุกอย่างหยุดนิ่ง บางเรื่องก็ไม่ทำอ้างว่าทำไม่ทัน เช่นการปฏิรูปตำรวจ ประกาศปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดต่อไป นั่นเท่ากับว่าโอกาสที่จะมีการปฏิรูปองค์กรตำรวจที่เป็นต้นตอของกระบวนการยุติธรรม หมดไปแทบจะสิ้นเชิงแล้ว
แม้ว่าในเวลามีการกำหนดเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิรูปเอาไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เช่น การปฏิรูปตำรวจต้องทำให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปี แต่แนวทางปฏิบัติแบบไหนยังไม่มีความชัดเจน และหากไม่ทำหรือทำไม่เสร็จจะมีการดำเนินการอย่างไร
อย่างไรก็ดี กันแบบเฉพาะหน้าในปัจจุบันเพื่อสะท้อนไปถึงแนวโน้มในอนาคต ย่อมทำให้ชาวบ้านเริ่มไม่มั่นใจและเชื่อมั่นได้เลย เพราะขนาดรัฐบาลและผู้นำอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีอำนาจพิเศษในมืออย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในยามนี้ แต่ผลที่ออกมาอย่างที่เห็น มองในมุมไหน ถือว่า “ไม่คุ้มค่า” ไม่สมกับที่ชาวบ้านต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพบางอย่าง ผลงานที่เห็นของรัฐบาลชุดนี้และคณะรักษาความสงบแห่งชาติในเวลานี้ในช่วงเวลาร่วมสองปี ไม่ต่างจากรัฐบาลของพวกนักการเมืองที่น่ารังเกียจกันอยู่ในเวลานี้ ยกเว้นแต่เพียงในเรื่องความสงบ ไม่มีบรรยากาศของการเดินประท้วงตามท้องถนน ซึ่งมองอีกด้านหนึ่งที่ชาวบ้านยังไม่ออกมาอาจเป็นเพราะยังพอกัดฟันให้โอกาสพิสูจน์ผลงานอีกสักระยะ เรียกว่าอาจยังไม่หมดความอดทนก็เป็นได้
อีกด้านหนึ่งก็อาจไม่ต้องการให้ตกเป็นเหยื่อสถานการณ์การฉวยโอกาสของ เครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังดิ้นรนเพื่อกลับมาอีกครั้งในเวลานี้
ดังนั้น เมื่อประเมินสถานการณ์ในเวลานี้ พิจารณาจากผลงานและความศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อ รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต้องยอมรับความจริงว่าทุกอย่างเริ่มลดลงเรื่อย ๆ ไม่มีเพิ่มขึ้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ส่วนสาเหตุสำคัญย่อมมาจากผลงานที่ประจักษ์สายตาว่า “ยังสอบไม่ผ่าน” ส่วนจะ “สอบตก” หรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเมื่อผลงานออกมาอย่างที่เห็น มันก็ย่อมมีผลต่อเนื่องมาถึงความศรัทธาที่เคยมีให้ตามมาด้วย ขณะเดียวกัน ยังมีพฤติกรรมหลายเรื่องที่เริ่มน่าสงสัย ลักษณะถูกมองว่า “กำลังเข้ามาสวมแทน” รัฐบาลชุดที่แล้ว เหมือนกับพวกเก่าไปพวกใหม่ก็เข้ามา
เมื่อเป็นแบบนี้ อย่าได้แปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มมีอาการหงุดหงิด ซึ่งไม่แน่ใจว่าหงุดหงิดตัวเอง หรือหงุดหงิดคนใกล้ตัว เพราะหลายอย่างไม่ได้ดังใจ ไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักเรื่องเดียว โดยเฉพาะสิ่งที่ชาวบ้านต้องการให้ทำก่อน ก็ไม่เคยขยับ!!