แก๊งแดงบุก มทบ.11 เยี่ยม 9 มือโพสต์ รับรู้จักกัน โวยผิด พ.ร.บ.คอมพ์ แต่อุ้มตัวทำยังกับผิด พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์ ฉะอ้างปราบอิทธิพลจัดการเห็นต่าง ประชามติไม่ควรสร้างความหวาดกลัว ชี้ผลลัพธ์จะหนักกว่าพม่า ยันไม่มีเดินเกมใต้ดิน เตือนรุนแรงมามีรุนแรงกลับ ด้าน จนท.ไม่อนุญาตห้ามเยี่ยม
วันนี้ (28 เม.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น ที่หน้ามณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. และนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษา นปช. ตลอดจนแกนนำ นปช. เดินทางมาเยี่ยมผู้ต้องหาทั้ง 9 คนที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวตามอำนาจมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) หลังมีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดีย เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
โดยนายจตุพรกล่าวว่า จะขออนุญาตผู้รับผิดชอบควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ตนและคณะรู้จักกับนายนพเก้า คงสุวรรณ และ น.ส.วรารัตน์ เหม็งประมูล ที่ทำเฟสบุ๊คให้กับตน ขณะที่นายธนวรรธ์ บูรณศิริ ที่เคยเป็นอดีตพนักงานพีซทีวีแต่ลาออกไปตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา วันนี้ตนอยากสื่อสารกับผู้มีอำนาจว่าหากทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 แต่กระทำกับเขายิ่งกว่าผิด พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์ โดยใช้มาตรการอุ้มตัว และให้วิธีส่งพนักงานสอบสอบ และหาความผิดภายหลังนั้น ตนอยากให้เลิกพฤติกรรมแบบนี้ได้แล้ว ทั้งนี้การใช้คำสั่ง คสช.ที่ 13/2559 ก็ถูกองค์กรนานาชาติได้ทักท้วงว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ คสช.ยืนยันว่าใช้เพื่อปราบปรามผู้มีอิทธิพล แต่ในความจริงเป็นการบังคับใช้กับบุคคลที่เห็นต่าง ดังนั้นคาดหวังว่าเจ้าหน้าที่ มทบ.11 คงให้ตน และคณะเข้าไปเยี่ยม
นายจตุพรกล่าวต่อว่า ตนเห็นว่าบรรยากาศการทำประชามติไม่ควรสร้างบรรยากาศความหวาดกลัวแก่ประชาชน และคิดว่าบรรยากาศจับน้องๆ ทั้ง 10 คนให้เป็นกรณีสุดท้าย อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าผู้มีอำนาจควรใจกว้าง และเปิดโอกาสให้องค์กรนานาชาติเข้ามาสังเกตการณ์การทำประชามติ แต่การออกอาการการณ์วิตกมากจนเกินเหตุยิ่งเข้าข่ายน่าสงสัย และอยากให้จำคำตนไว้ว่ายิ่งใช้วิธีการนอกรูปแบบ และวิธีการแบบกองโจรแบบนี้ ผลลัพธ์ในวันลงประชามติ 7 สิงหาคมจะตรงกันข้าม และจะหนักยิ่งกว่าประเทศเมียนมาร์ด้วย
ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.กล่าวว่า มาแสดงความห่วงใยสถานการณ์ของประเทศ เพราะความหมายประชามติที่ทั่วโลกเข้าใจคือการที่ผู้มีอำนาจต้องรับฟังเสียงประชาชน แต่วันนี้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ประชาชนต้องฟังเฉพาะเสียงผู้มีอำนาจ โดยไม่มีสิทธิแสดงความคิดเห็นตนเอง และกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ และสายตาของนานาชาติ ไม่เข้าใจว่าทีมการเมืองของรัฐบาลคิดอย่างไรถึงเลือกใช้วิธีนี้กับคนที่เห็นต่าง ถ้าคิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเล็กคนน้อยจะทำอะไรก็ได้ก็คงไม่ใช่ ยืนยันว่าไม่มีบุคคลใดไปเดินเกมใต้ดินเพื่อเผชิญหน้ากับรัฐบาล ไม่มีขบวนการการเมืองไหนที่จะมาท้ารบกับผู้มีอำนาจทั้งสิ้น เพราะเชื่อว่าสนามการต่อสู้เกิดขึ้นจริงแล้วคือสนามการลงประชามติ ซึ่งจะเป็นการหาคำตอบให้ประเทศอย่างสันติว่าประชาชนส่วนใหญ่คิดเห็นอย่างไร เพราะฉะนั้นขอให้สบายใจ และลดความหวาดระแวงลง ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้ไว้เนื้อเชื้อใจ เคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีของประชาชนบ้าง และหันหน้าไปในแนวทางเดียวกันคือหลักการประชาธิปไตยที่เป็นภาษาสากล แต่ตอนนี้ภาษาประชาธิปไตยในไทยกำลังสับสน นอกจากนั้น คสช.ควรจัดแถวองค์กรที่เกี่ยวข้องกับประชามติทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ แม้กระทั่ง 5 คนใน กกต.ยังเดินคนละทิศทาง เหมือนไม่รู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร
ด้านนางธิดากล่าวว่า วันนี้เรามาในนามประชาชนผู้รักประชาธิปไตยที่ห่วงใยการประทำของรัฐบาลที่กระทำต่อประชาชนที่มีความคิดเห็นต่าง ซึ่งที่รัฐบาลทำเพราะคิดว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ในทัศนะของเรา สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการเป็นการใช้อำนาจทางการทหารและคำสั่งของ คสช. หรือมาตรา 44 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) ในการจัดการกับคนที่มีความคิดเห็นต่าง สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับของประชาชน ถ้ามีความรุนแรงกระทำต่อประชาชนอย่างไม่มีเหตุผลสิ่งที่สะท้อนกลับมันก็จะรุนแรงเช่นกัน ดังนั้นเราไม่เห็นด้วยในสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการ เพราะสิ่งที่ทำนี้ห่างไกลต่อการเมืองและการปกครองที่ดี
“นอกจากนี้ ขอให้เข้าใจว่ากลุ่มที่ถูกจับกุมโดยยังไม่แจ้งข้อหาเป็นกลุ่มเยาวชนทั้งสิ้น และบางคนก็เป็นแม่ของลูกที่ป่วยเป็นออทิสติก ซึ่งเขาเป็นคนธรรมดา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองและการเคลื่อนไหว ทำให้เกิดความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นต้องคิดว่าไม่มีใครอยู่เบื้องหลังแต่เหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากการกระทำที่ไม่ถูกต้องจากการใช้อำนาจทางการทหารกับประชาชน” นางธิดากล่าว และว่าถ้าอาฆาตพยาบาทจับกุมเช่นนี้ต่อไปเป็นเรื่องที่น่าห่วง โดยเฉพาะการเดินหน้าต่อไปเพื่อให้ประเทศเกิดประชาธิปไตย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นแกนนำ นปช.ได้เข้าไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทหาร มทบ.11 เพื่อขอเข้าเยี่ยมผู้ถูกควบคุมตัวทั้ง 9 คน แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต โดยระบุว่าเตรียมจะนำทั้ง 9 คนไปแจ้งขอหาที่กองบังคับการปราบปราม พร้อมทั้งนำตัวไปขออำนาจศาลทหารฝากขังวันนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากทางกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ได้ส่งตัวผู้ต้องหา 9 คนที่กระทำความผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และ กฎหมายอาญา มาตรา 116 ให้อยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา และ สอบปากคำ ที่กองบังคับการกองปราบปรามฯ เสร็จสิ้นเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา และเตรียมฝากขังต่อศาลทหาร แต่เนื่องจากผู้ต้องหามีจำนวนหลายคน ทำให้การสอบสวนต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร จึงไม่สามารถฝากขังได้ทันเวลาในวันนี้ เนื่องจากศาลได้ปิดทำการลงในเวลา 16.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำผู้ต้องหาทั้งหมดไปฝากไว้ที่ห้องควบคุม สน.พหลโยธิน และ สน.ใกล้เคียง ในพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2) โดยในวันพรุ่งนี้ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามฯ จะได้นำตัวฝากขังศาลทหารผัดแรก ในเวลา 09.00 น.