นครปฐม - "หลวงพี่น้ำฝน" เปิดแถลงข่าวแจงกรณีดีเอสไอ ส่งหนังสือให้นำรถยนต์ภายในวัดเข้าตรวจสอบหลังตรวจสอบพบมีการนำเข้ารถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจดประกอบเป็นรถยนต์จากอุปกรณ์ชิ้นส่วนเก่าโดยหลีกเลี่ยงราคาข้อห้าม ข้อจำกัด และหลีกเลี่ยงอากรเข้า หรือที่ยังไม่ได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง ยันไม่ได้โกรธแค้นหรือ "ท้ารบดีเอสไอ"และพร้อมส่งเอกสารให้ตรวจสอบอีกครั้งแต่จะไม่ส่งรถไป เพราะกระบวนการจบไป 2 ปีแล้วและมีผลว่าไม่ผิด ระบุงง! มาตรวจสอบอีกทำไม สุดท้ายยอมรับเข้าทางหลักคำสอน สงบปล่อยวาง
วันนี้ (26 ก.พ.) ที่ศาลาตั้งโลงแก้วสังขารหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม ต.ห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้เปิดแถลงข่าวกรณีที่กรมสอบสวนพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้ส่งหนังสือที่ ยธ 0808/324 ลงวันที่ 24 ก.พ.59 เพื่อให้นำรถยนต์เข้าตรวจสอบกรณีที่สำนักงานเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สืบสวนกรณีการนำเข้ารถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจดประกอบเป็นรถยนต์จากอุปกรณ์ชิ้นส่วนเก่าโดยหลีกเลี่ยงราคาข้อห้าม ข้อจำกัด และหลีกเลี่ยงอากรเข้า หรือที่ยังไม่ได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง ซึ่งอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 โดยระบุรถยนต์ยี่ห้อแพนเทอร์ รุ่นปี 1977 สีดำเลขเครื่องยนต์ 8L 66240-L ตัวเลขรถ 731 เพื่อตรวจสอบทางกายภาพในวันที่ 2 มีนาคม 2559 ลงนามโดย พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ
โดยมีสื่อมวลชนมาติดตามในเรื่องดังกล่าวเป็นจำนวนมากก่อนจะมีการแถลงพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน ได้นำสวดมนต์ทำวัตรเช้าและสวดพระพุทธมนต์ถวายแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนจะตั้งโต๊ะแถลงข่าวบริเวณหน้าโลงแก้วที่บรรจุสังขารหลวงพ่อพูล อดีตเจ้าอาวาส
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า ในกรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2556 ทางดีเอสไอก็ได้มีการส่งหนังสือให้นำรถคันดังกล่าวให้เข้าไปตรวจสอบแล้ว ซึ่งทางตนได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ส่งเอกสารทั้งหมดไปให้ตรวจสอบไปแล้วตามนัดหมายเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2556 โดยเป็นรถยนต์ ยี่ห้อแพนเทอร์ หมายเลขทะเบียน 1562 สระบุรี ซึ่งได้ย้ายรถเข้ามาที่กรุงเทพฯ เป็นทะเบียน กก 1177 กรุงเทพ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งตนได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดพระธาตุแช่แห้ง ที่จังหวัดน่าน ซึ่งได้มอบหมายให้ตัวแทนเดินทางไปแทน
จากนั้นเมื่อมีข่าวปรากฏ ตนก็ได้รับความเสื่อมเสียมาโดยตลอดว่าพระเอารถผิดกฎหมายเข้ามาและดีเอสไอมีการตรวจสอบโดยตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและยืนยันว่าไม่พบสิ่งผิดปกติ แล้ววันนี้ชื่อเสียงของตนเสียหายไปแล้ว และที่ดีเอสไอ ตรวจสอบตนก็ไม่มีการใช้เส้นสายใดใดในเรื่องนี้ ชัดเจน
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 ได้มีหนังสือที่ ยธ 0808/324 มาอีก ซึ่งตนก็งง ว่าทำไมมาตรวจสอบอีกแล้ว เพราะรถที่มีปัญหาตั้ง 5 พันกว่าคันทำไมมาสนใจรถคันนี้ แล้วตอนนี้รถคันนี้ก็พบไดสตาร์ทก็พัง เกียร์ก็ไม่ได้ใช้ และรถก็ไม่ได้นำมาใช้ส่วนตัว เอามาจอดเป็นวิทยาทานมากกว่าและพร้อมจะให้มีการตรวจสอบ แต่จะไม่มีการนำรถไปตรวจสอบ แต่พร้อมจะให้มาตรวจสอบที่วัดไผ่ล้อม โดยจะให้ฝ่ายกฎหมายทำหนังสือชี้แจงไปในวันที่ 2 มีนาคมนี้
"แทนที่จะมาตรวจสอบว่าวัดไผ่ล้อมได้สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ทำประโยชน์ให้กับสังคมไปเท่าไหร่ ตอนนี้ถ้านับก็ไม้น้อยกว่า 400 ล้านบาทแล้ว ซึ่งเดิมทีอาตมาเป็นพระอารมณ์ร้อน แต่วันนี้ใจเย็นขึ้นเยอะ เพราะเข้าใจถึงหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ให้ไว้คือถ้าเราไปบันดาลโทสะจะไม่มีอะไรดีเลย เพราะฉะนั้น ถ้าใครอยากจะถามอาตมา ก็ยินดีจะตอบและขอให้มาพร้อมกันเลยดีกว่าจะตอบให้จบไปเลยทีเดียว"
"สำหรับใครจะมาถามว่าในเรื่องนี้มีนัยยะกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมหรือไม่อาตมา เป็นพระขอพูดให้ชัดว่า เรื่องนี้ไม่มีความเห็นที่จะคิดวิพากษ์วิจารณ์ ใดใด ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้ตรวจสอบ ส่วนตัวขอยึดหลักพระธรรมด้วยการใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นที่ตั้งจะให้ชี้แจงก็ชี้แจงไป ซึ่งอาตมาก็เชื่อถือการทำงานของดีเอสไอ แล้ว คือเมื่อขอให้ตรวจสอบก็ส่งเรื่องไปให้ตรวจสอบแล้ว และมาวันนี้ตรวจอีกแล้ว งงมั้ยล่ะ”
“รถคันนี้ทำตามหลักการที่กำหนดให้ทุกอย่าง ตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้น ซึ่งได้มีการเสียภาษี มาอย่างถูกต้อง มาตลอดระยะ 4 ปีๆละ 11,700 บาท ภาษีหมดวันที่ 11 พฤษภาคม และไม่เคยมีการแจ้งยกเลิกแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องอื่นเราก็ไม่รู้ ส่วนรถคันนี้คนจะเข้าใจว่าเป็น รถจาร์กัว ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ เป็นรถยี่ห้อแพนเทอร์ แล้วน้ำมาใส่เครื่องของยี่ห้อจาร์กัว คนทั่วไปก็จะเข้าในใจผิดว่าเป็นรถยี่ห้อหรู แล้วสภาพรถก็นำมาให้อาตมาใช้ก็ไม่เหมาะ ซึ่งการใช้งานจริงๆ ก็คือเอาไปใช้ แห่ขบวนของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ก่อนจะมีพิธีกระราชทานเพลิงศพ จนถึงวันนี้ก็มีเพียงกองละครช่อง 7 มายืมไปใช้เข้าฉากประกอบละคร ก็ให้คนเข็นแบบที่โยมเห็นวันนี้” หลวงพี่น้ำฝนกล่าว
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน ยังได้กล่าวอีกว่า ตนก็พูดปกติไปตามสิ่งที่เกิดขึ้น สื่อบางคนอาจจะบอกว่าตนโมโห จริงๆ แล้วไม่มี เรื่องของการปลงนี้ตนเข้าใจหลักธรรม เพราะตอนตนอายุ 33 ปีก็ป่วยเป็นเบาหวานแล้ว ตอนนี้ 43 ปีเข้าใจดีว่าสัจธรรมคืออะไร โดยอย่างโยมแม่ก็มาอาศัยชายคาวัดที่ข้างกุฏิ จะรอก็แค่วันตาย เรื่องของพระธรรมคำสั่งสอนสำคัญมากและชัดเจนในเรื่องนี้ ซึ่งทุกวันนี้วัดไผ่ล้อมก็รวมใจในการสวดเจริญพระพุทธมนต์ถวายในหลวง เราน่าจะคิดเรื่องนี้เป็นเรื่องหลักมากกว่า
ด้านนายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ไวยวัจกรวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า สำหรับวันนี้ได้รับหนังสือมาจากดีเอสไอ ก็ได้มีความเห็นจากหลวงพี่น้ำฝนว่าจะทำหนังสือชี้แจงในส่วนของการส่งหนังสือกลับไปให้ตรวจสอบก่อน และได้ตั้งประเด็นในข้อสังเกตสำหรับเรื่องนี้ไว้ คือทำไมมีการพุ่งเป้าในเรื่องรถยนต์ ทั้ง 2 วัดคือที่วัดปากน้ำและวัดไผ่ล้อม ซึ่งจริงๆ แล้วรถที่มีการจดทะเบียนผิดกฎหมายมีมากมายมีการดำเนินการไปแล้วอย่างไรบ้าง และขอให้มีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงไปด้วย
"สำหรับกรณีที่ผมและกลุ่มไวยวัจกรทั่วประเทศได้มีการจัดตั้งสมาคมไวยวัจกรแห่งประเทศไทยขี้น และมีกระแสว่ามีความขัดแย้งและสร้างความไม่พอใจให้กับพระผู้ใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ขอบอกว่ากระแสข่าวในเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงตามที่มีคนให้ข่าวนี้ออกมา" นายศุภภัทร์พจน์ กล่าว
ต่อมาพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมได้นำคณะสื่อมวลชนเข้าดูรถยนต์ยี่ห้อแพนเทอร์ ปี 1977 สำดำหมายเลขทะเบียน กก 1177 กรุงเทพ ซึ่งเป็นรถเปิดประทุน ที่จอดไว้ข้างกุฏิ ซึ่งต้องให้เจ้าหน้าที่ภายในวัดช่วยกันเข็นออกมา ให้สื่อมวลชนได้ชม โดยได้นำหนังสือทะเบียน มาโชว์ให้ดูและยังได้เปิดให้ดูหมายเลขเครื่องและการประกอบของรถคันดังกล่าว โดยมีข้อมูลว่ารถคันดังกล่าวนั้นน่าจะมีเพียง 300 คันทั่วโลกเป็นรถที่หายากและในประเทศไทยมีเพียงคันเดียว โดยตอนนี้ระบบเกียร์และและระบบไดรท์สตาร์ท ยังไม่สามารถหาอะไหล่ได้ โดยมีสื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบเขามาชมกันอย่างเป็นที่สนใจ ขณะที่มีกระแสจับตาการเคลื่อนไหว ของพระพุทธอิสระหรือหลวงปู่พุทธอิสระ วัดอ้อน้อยว่าจะมีกระแสการเคลื่อนไหวแจ้งความกรณี การชุมนุมของพระสงฆ์ที่พุทธมลฑณก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดใดที่ชัดเจนออกมา