เมืองไทย 360 องศา
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า การเสนอชื่อแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่จะต้องยืดเยื้อต่อไปแบบไม่มีกำหนด หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้แสดงท่าทีชัดเจนหลังจากกลับจากการประชุมผู้นำสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอาเซียน-สหรัฐฯ ที่สหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ตราบใดที่ยังมีความขัดแย้งแตกแยกกัน เขาก็จะไม่เสนอแต่งตั้งเป็นอันขาด โดยอ้างว่าให้กลไกทางกฎหมายที่มีอยู่ดำเนินการกันต่อไป และยังอ้างว่าเขาไม่อยากเข้าไปยุ่ง ไม่อยากใช้กฎหมายบังคับสงฆ์ ทำนองว่าไม่อยากเข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายว่างั้นเถอะ
ฟังเผินๆ ก็ดูดี ทำเหมือนว่าเรื่องของสงฆ์ก็ปล่อยให้สงฆ์ดำเนินการกันเอง ว่ากันไปตามอัธยาศัย เป็นเรื่องของศาสนจักร ทางโลกไม่เกี่ยว
แต่หากพิจารณาอีกด้านหนึ่งตามความเป็นจริง แบบนี้เขาเรียกว่า “ลอยตัว” ทำตัวเหนือความขัดแย้ง หรือหากพูดกันแบบดิบๆ ก็ต้องบอกว่า “ชิ่งหนีเอาตัวรอด” หรือเปล่า
ทั้งนี้ หากพิจารณาตามความเป็นจริงและตรงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็คือ ปัญหาในการเสนอชื่อ “สมเด็จช่วง” หรือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ กำลังถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงเรื่องความไม่เหมาะสมต่างๆ นานา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงวิจารณ์ในเรื่องของการ “สะสมกิเลส” อันเนื่องมาจากวัตรปฏิบัติแปลกๆ ในเรื่องของ “ความหรูหรา” การก่อสร้างอาคารอันโอ่อ่าอลังการ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากการสร้าง “พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล” ที่มีมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท และในนั้นก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สะสมของโบราณ ของมีค่าหายากไว้เป็นจำนวนมาก แต่ที่น่าสนใจและกำลังเป็นที่จับตามองและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอยู่ในเวลานี้ก็คือ การมีรสนิยมในการสะสมรถโบราณ จนกระทั่งตกเป็นข่าวอื้อฉาว ก็คือ “การครอบครองรถอันมิชอบ” ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การการนำเข้า การจดประกอบ การปลอมแปลงเอกสารทางราชการในการจดทะเบียน รวมทั้งการเสียภาษี ซึ่งเป็นผลจากการตรวจสอบอย่างละเอียดของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีการแถลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
จากกรณีดังกล่าวทำให้เห็นว่านอกเหนือจากเรื่อง “พระมีรสนิยมในการสะสมรถโบราณ” ที่มีมูลค่าคันละหลายล้านบาทแล้ว ยังมีเรื่องของคดีอาญาตามมาอีก เพราะหากเรื่องดังกล่าวมีความผิด นั่นก็ย่อมหมายความว่า ในเบื้องต้นรถเบนซ์โบราณ ทะเบียน ขม 99 ที่มีชื่อ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เป็นเจ้าของ ก็ต้องอยู่ในข่ายมีความผิดด้วย อย่างไรก็ดี กำลังมีความเคลื่อนไหวในหมู่ของพระใกล้ชิดบางราย พยายามบิดเบือนทำนองว่าว่า “สมเด็จช่วง” ไม่เกี่ยว ไม่รู้เห็นประมาณนี้ ถือว่าคนละเรื่องกัน
นอกเหนือจากเรื่องรสนิยมในการสะสมรถโบราณหรูหรา ผิดวิสัยของพระสงฆ์ที่เคร่งครัดในเรื่องธรรมวินัยทั่วไปแล้ว “สมเด็จช่วง” ยังเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับวัดพระธรรมกาย กับ “ธัมมชโย” อันอื้อฉาว เพราะมีเรื่องมีคดีรับเช็คจากผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น หลายร้อยล้านบาท อาจถูกดำเนินคดีในเรื่อง “รับของโจร” หรือมีความผิดทางอาญาตามมาอีกหลายคดี และที่ผ่านมา สมเด็จช่วงก็เคยกล่าวเองว่า วัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายเป็น “วัดพี่วัดน้อง” กัน และยังเคยร่วมเส้นทาง “เดินไปสู่สวรรค์” ด้วยกันหลายครั้ง
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากแนวทางของพุทธแท้ ที่ไม่ต้องพิจารณาให้ลึกซึ้งมากมายก็พอเข้าใจได้ไม่ยากว่า คนพวกนี้เป็นพระแบบไหน แต่นี่กลายเป็นว่ากำลังได้รับการสนับสนุนจากที่ประชุมมหาเถรสมาคม ให้เป็นพระสังฆราชองค์ใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้สะท้อนให้เห็นว่า “ระบบคิด” ในยุคใหม่เป็นอย่างไร หรือต้องมีการสังคายนากันครั้งใหญ่ไปพร้อมกันหรือไม่ เพราะนี่คือการบั่นทอนทำลายความศรัทธาของชาวบ้านที่มองเข้ามาจากข้างนอก
แต่อีกด้านหนึ่งกลับกลายเป็นว่า ฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจตามกฎหมาย โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติกลับ “ลอยตัว” อ้างว่าเป็นเรื่องของสงฆ์ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้แก้ปัญหากันตามกฎหมายคณะปกครองสงฆ์ทั้งที่ในความเป็นจริงก็คือการ “ซุกปัญหา” เอาไว้ อย่างน้อยก็จนกว่าตัวเองจะพ้นจากอำนาจไป รอจนกว่าจะมีการรัฐบาลใหม่เข้ามา และระหว่างนี้สมเด็จช่วงก็ทำหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชต่อไป เป็นการซื้อเวลาให้ทั้งสองฝ่าย ขณะที่ปัญหาใหม่ก็สะสมและรอวันปะทุขึ้นมาในอนาคต!